ภายหลังการหารือ พลตรี วีรชน สุคนธปฏิภาค สรุปสาระสำคัญของการหารือ ดังนี้
นายกรัฐมนตรี แสดงความเสียใจกับเหตุระเบิดและการกราดยิง ณ กรุงจาการ์ตา เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2559 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 7 รายและบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง และขอร่วมกับรัฐบาลอินโดนีเซียประณามอาชญากรรมและการก่อความรุนแรงในครั้งนี้ โดยเห็นพ้องว่า การก่อการร้ายเป็นภัยคุกคามที่ประเทศในอาเซียนต้องเตรียมรับมือและป้องกันมากขึ้นกว่าเดิม และเสนอให้มีความร่วมมือด้านความมั่นคงที่เข้มแข็งระหว่างไทยกับอินโดนีเซียและในอาเซียน
นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณเอกอัครราชทูตฯ ที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอินโดนีเซียให้แน่นแฟ้นขึ้น ตลอดจน การช่วยสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองไทยไปยังรัฐบาลอินโดนีเซีย พร้อมย้ำจุดยืนของไทยที่จะร่วมมือกับอินโดนีเซียต่อไปในสาขาที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน ตามหลักการ ไทย + 1 และอาเซียน +1 พร้อมเสนอการสร้างการรวมกลุ่มของประเทศในอาเซียนแบบ package ตามกลุ่มสินค้าที่แต่ละประเทศมีศักยภาพ เพื่อช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มและอำนาจต่อรองในตลาดโลก แทนการแข่งขันกัน อาทิ ความร่วมมือด้านการประมงระหว่างไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย บรูไน เวียดนาม เป็นต้น ซึ่งจะช่วยเรื่องส่วนแบ่งทางการตลาด การบริหารจัดการเรื่องการจับปลาในน่านน้ำร่วมกัน และจะช่วยแก้ปัญหาการทำประมงที่ผิดกฎหมาย นอกจากนี้ ยังมีสินค้าเกษตรอื่นๆ อาทิ ข้าว ยางและปาล์ม ซึ่งหากประเทศในกลุ่มอาเซียนสามารถร่วมมือกันได้ จะแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำและยังช่วยปรับปรุงคุณภาพสินค้า
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังเสนอให้มีการทำวิจัยและพัฒนา (R&D) ร่วมกันในอาเซียน เพื่อนำวัตถุดิบทางการเกษตร ที่เหลือจากการใช้ภายในประเทศ มาแปรรูปเป็นสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ ที่มีความต้องการในตลาดโลก โดยสร้างเป็นอาเซียนแบรนด์ ซึ่งเอกอัครราชทูตฯ เห็นว่าเป็นประโยชน์และอยู่ในความสนใจของอินโดนีเซียด้วยเช่นกัน
ประเด็นความสัมพันธ์ทวิภาคี ไทยและอินโดนีเซียมีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-อินโดนีเซีย กว่า 65 ปี โดยในปีที่ผ่านมา มีความร่วมมือที่ครอบคลุมหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการค้าการลงทุน ที่แม้จะปริมาณการค้าจะลดลงเนื่องจากการหดตัวของเศรษฐกิจโลก แต่ในแง่การลงทุน มีนักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนเพิ่มขึ้นในอินโดนีเซีย และมีนักลงทุนอินโดนีเซียมาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ปริมาณการนำเข้าสินค้าเกษตรจากไทย โดยเฉพาะข้าว ก็เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากอินโดนีเซียประสบกับภัยแล้งในช่วงที่ผ่านมา และในปีนี้ ยังมีความต้องการที่จะร่วมมือกับไทยด้านความมั่นคงทางอาหาร (food security) มากขึ้น
นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมา ไทยและอินโดนีเซีย ยังมีความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีการส่งกลับลิงอุรังอุตังคืนอินโดนีเซีย จำนวน 14 ตัวด้วย
เอกอัครราชทูตฯ ยังได้แสดงความชื่นชมต่อการดำเนินการแก้ไขปัญหาการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) ของรัฐบาลไทยที่มีความก้าวหน้าอย่างเห็นได้ชัด และยืนยันว่า อินโดนีเซียจะร่วมมือกับไทยในการแก้ไขปัญหานี้อย่างต่อเนื่อง โดยกำลังมีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมกันในเรื่องนี้ ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการทางทะเลและประมงอินโดนีเซียเป็นประธานร่วม และจะมีการประชุมคณะทำงานร่วมฯ ครั้งแรก ในช่วงต้นปีนี้
นอกจากนี้ ในโอกาสที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จฯ เยือนอินโดนีเซีย ในช่วงเดือนมีนาคม 2559 นายกรัฐมนตรีได้ฝากให้เอกอัครราชทูตฯ ช่วยดูแลและถวายการรับเสด็จฯ แด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีอย่างสมพระเกียรติ ซึ่งเอกอัครราชทูตฯ มีความยินดีและกล่าวถึงความชื่นชมส่วนตัวต่อโครงการพัฒนาโรงเรียน SD Negeri 50 Kota Ternate ที่อยู่ภายใต้โครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนตามพระราชดำริ ด้วย
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวเชิญประธานาธิบดีอินโดนีเซียเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ในโอกาสต่อไปด้วย
**************************************************
กลุ่มวิเทศสัมพันธ์ สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th