วันนี้ (จันทร์ 15 มกราคม 2559) เวลา 10.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พบหารือทวิภาคีกับนายเหวียน เติ๊น สุง (Mr. Nguyen Tan Dung) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ระหว่างการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน – สหรัฐฯ สมัยพิเศษ (U.S.-ASEAN Leaders Summit) ณ เมือง Rancho Mirage มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ภายหลังการหารือ พลตรี วีรชน สุคนธปฎิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่มชมประวัติศาสตร์ความร่วมมือ 40 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต และยืนยันที่จะเดินหน้าภายใต้ความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Partnership) อย่างรอบด้าน ทั้งการค้า การลงทุน และความมั่นคง ซึ่งการมีเสถียรภาพจะเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่เอื้อต่อการเติบโตทั้งทางเศรษฐกิจ สังคมต่อประเทศและภูมิภาค ทั้งนี้ ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทยและเวียดนาม จะต้องขยายให้ครอบคลุมไปยังประเทศอื่น เพื่อให้อาเซียนมีความเข้มแข็ง จากภายใน สามารถมีบทบาทและเพิ่มอำนาจการต่อรองกับประเทศมหาอำนาจ
นายกรัฐมนตรียังแสดงความยินดีที่เวียดนามเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) ที่ขณะนี้ ไทยกำลังศึกษาและประเมินข้อกำหนดสำหรับประเทศที่จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกใหม่อย่างรอบคอบ พร้อมแลกเปลี่ยนและรับฟังความคิดเห็นจากเวียดนามด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตีเวียดนาม กล่าวว่าความร่วมมือไทยและเวียดนามมีความก้าวหน้า เร่งควรให้กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเดินหน้าปฏิบัติตามแผนการทำงานที่ได้มีการลงนาม ภายใต้ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะ การผลักดันมูลค่าการค้าสองประเทศให้ได้ 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ ภายในปี 2563
นายกรัฐมนตรีเวียดนามยังได้กล่าวสนับสนุนความร่วมมือด้านความมั่นคงและความปลอดภัย โดยเห็นควรมอบหมายรัฐมนตรีทีเกี่ยวข้องเป็นผู้กำกับนโยบายและให้มีการประสานงานและความร่วมมือพลเรือน ทหารและตำรวจ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสองฝ่าย
ด้านแรงงาน นายกรัฐมนตรีเวียดนามได้กล่าวขอบคุณไทยที่ให้การช่วยเหลือและขยายระยะเวลาในการจดทะเบียนแรงงานเวียดนาม โดยจะมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดวางแนวทางการทำงานร่วมกันต่อไป โดยอยากเห็นแรงงานเวียดนามสามารถทำงานได้หลากหลายสาขาอาชีพยิ่งขึ้น แทนการกระจุกตัวอยู่เพียงภาคประมง แม่บ้าน ก่อสร้างและร้านอาหาร เท่านั้น
ทั้งนี้ ความร่วมมือด้านประมงและเรือประมงนั้น ไทยและเวียดนามจะร่วมมืออย่างสร้างสรรค์เพื่อเร่งขจัดปัญหาประมงผิดกฎหมาย ขณะเดียวกันก็จะเปิดช่องทางการสื่อสาร อาทิ สายด่วนประมง ระหว่างกันเพื่อเป็นประโยชน์ต่อความร่วมมือและการป้องกันการกระทำผิดกฎหมายในอนาคตด้วย
นายกรัฐมนตรีไทยได้กล่าวว่า ประชาคมอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ จะต้องร่วมมือกันสร้างความเข้มแข็งและแข็งแรง (Stronger) ไปด้วยกัน โดยเดินหน้าร่วมมือในสาขาที่เห็นพ้องและมีศักยภาพ อาทิ การผลักดันมูลค่าการค้าระหว่างไทยกับเวียดนาม 20,000 ล้านดอลลาห์ ให้เกิดมูลค่าเพิ่มในห่วงโซ่การผลิต ทั้งต้นทางการผลิตและแปรรูปสู่การตลาด เพื่ออาเซียนทั้งหมดได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน ด้านแรงงาน ได้ให้ความสำคัญสองเรื่องใหญ่ คือ การเร่งจัดทำการพิสูจน์สัญชาติและการจดทะเบียนแรงงาน ควรมีมาตรการควบคุมจากประเทศต้นทางด้วย สำหรับด้านประมงนั้น ไทยร่วมมือกับเวียดนามและพร้อมเจรจาประเทศอื่นๆ ในอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย ทั้งการเปิดเสรีและการร่วมลงทุน (Joint Venture) ด้านความมั่นคงนั้นจะขอให้รองนายกรัฐมนตรีด้านคามมั่นคงของไทยมากำกับดูแลให้เกิดบูรณาการทั้งตำรวจ ทหารและพลเรือง ขณะเดียวกันก็ได้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงการต่างประเทศ ทำหน้าที่ดูแลในระดับนโยบาย และประสานไปยังกระทรวงเจ้าของเรื่องที่เป็นฝ่ายปฎิบัติ โดยมีการจัดลำดับความพร้อมและความสำคัญก่อนหลัง เพื่อให้ความร่วมมือที่ได้มีการตกลงกันแล้วนั้น เดินหน้าอย่างรวดเร็ว
ที่มา: http://www.thaigov.go.th