ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะได้เยี่ยมชมนิทรรศการผลงานโครงการต่างๆ ของกองทุนหมู่บ้านฯ จากทั่วประเทศพร้อมทักทายสมาชิกฯ ด้วยอัธยาศัยอันดี
จากนั้นนายกรัฐมนตรีกล่าวเปิดงานสรุปความว่ารัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของเศรษฐกิจฐานรากเพราะเป็นพื้นฐานสำคัญในการผลักดันให้เศรษฐกิจภาพรวมของประเทศมีความก้าวหน้าและมีศักยภาพในการแข่งขัน จึงมีมาตรการสนับสนุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองเพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับหมู่บ้านในวงเงินสินเชื่อ 60,000 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลช่วยเหลือในเรื่องดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 2 ปี ทำให้โครงการดังกล่าวมีกองทุนหมู่บ้านรวม 50,050 กองทุน และมีสมาชิกได้รับประโยชน์จากโครงการกว่า 3 ล้านครัวเรือน พร้อมทั้งมีการขยายตลาดประชารัฐเพื่อรองรับผลผลิตที่ได้จากโครงการอย่างต่อเนื่อง
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า จากการดำเนินงานของโครงการมีความคืบหน้าไปในทิศทางที่ดี ประชาชนได้รับประโยชน์ในการพัฒนาในเรื่องการผลิต การแปรรูป การดำเนินชีวิตที่มีคุณภาพรัฐบาลจึงสนับสนุนให้กองทุนหมู่บ้านเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้มีความทั่วถึงเพิ่มมากขึ้น โดยเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2559 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบหลักการโครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ และได้อนุมัติหลักการงบประมาณในการดำเนินโครงการในกรอบวงเงิน 35,000 ล้านบาท เพื่อเป็น การยกระดับและเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากของชุมชน ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงสนับสนุนเงินทุนให้กับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง จำนวน 79,566 กองทุน วงเงินไม่เกินกองทุนละ 500,000 บาท เพื่อการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในหมู่บ้าน/ชุมชน และเพื่อดำเนินกิจกรรมอื่นๆ ที่หมู่บ้าน/ชุมชนเห็นว่าเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมศักยภาพในการประกอบอาชีพและความเป็นอยู่ในหมู่บ้าน/ชุมชนให้ดีขึ้น
นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำว่า การดำเนินโครงการดังกล่าวมีความจำเป็นต้องอาศัยกลไกในการดำเนินงาน โดยยึดหลักการของประชารัฐที่มีส่วนร่วมทั้งจากภาคประชาชน ภาคเอกชน และภาครัฐ ในการมุ่งเน้นพัฒนาภาคการผลิต การแปรรูป และการตลาดอย่างครบวงจร ให้มีความสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและการบริหารจัดการพื้นที่การผลิตให้เหมาะสม โดยต้องผ่านการกลั่นกรองอย่างครบถ้วน เพื่อไม่ให้มีความซ้ำซ้อนกับโครงการภายใต้นโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาล และโครงการอื่นๆ ที่มีลักษณะการดำเนินงานเดียวกัน เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว ลดงบประมาณส่วนเกินที่ไม่มีความจำเป็น พร้อมกับมีระบบการติดตามและการประเมินผลที่มีประสิทธิภาพ มีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ ตลอดจนการจัดสรรด้านพื้นที่และกิจกรรมต่างๆ ที่มีความสอดคล้องกันให้เกิดความเชื่อมโยงในการบูรณาการการทำงานที่มีศักยภาพมากขึ้น
นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า การสนับสนุนการดำเนินงานโครงการให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล จึงจะต้องร่วมกันทำงานอย่างจริงจัง สร้างเอกภาพและมาตรฐานเดียวกัน โดยรัฐบาลพร้อมสนับสนุนการมีส่วนร่วมของอาสาประชารัฐซึ่งเป็นพลังขับเคลื่อนที่มีศักยภาพ เพราะเกิดจากความต้องการและเจตนารมณ์ที่อยากจะพัฒนาหมู่บ้าน ชุมชน และสังคมให้มีมาตรฐานความก้าวหน้าในด้านของคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งนายกรัฐมนตรีมีความเชื่อมั่นว่า การที่จะพัฒนาประเทศไปสู่ความเจริญได้นั้น ที่สำคัญอยู่ที่พี่น้องประชาชนเป็นลำดับแรกให้ มีความอยู่ดีกินดี มีความสุข มีรายได้ มีศักยภาพในการพัฒนาตนเอง และสามารถบริหารจัดการเงินได้ ก็จะสามารถทำให้หมู่บ้าน ชุมชน และสังคมสามารถพึ่งตนเองและมีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนต่อไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวในตอนท้ายอีกว่า ปัจจัยในการสร้างความสำเร็จของมาตรการการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากในหมู่บ้านและชุมชน จะต้องเกิดจากการร่วมมือของทุกภาคส่วน ในการดำเนินการพัฒนาประเทศของเรา ให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงและเกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยความสามัคคี ความปรองดอง ซึ่งจะนำไปสู่การช่วยกันพัฒนา ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านการเมืองการปกครอง และอื่นๆ ให้มีความก้าวหน้าอย่างยั่งยืน เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนชาวไทยทุกคน
หลังจากที่นายกรัฐมนตรีกล่าวเปิดงานฯ จบแล้ว นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะได้ประกอบพิธีเปิดโครงการฯ อย่างเป็นทางการ โดยมีสมาชิกกองทุนฯ กว่า 10,000 คน แสดงความยินดีโดยพร้อมเพรียงกัน
***********************************
กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก
อภิวัฒน์ / รายงาน
ดวงใจ / ตรวจ
ที่มา: http://www.thaigov.go.th