"กฎหมายนี้คำนึงถึงความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนเป็นหลัก ไม่มีเจตนาสร้างความลำบากแก่ผู้ประกอบการหรือพนักงาน รปภ. แต่อยากขอความร่วมมือจากบริษัทต่าง ๆ ในฐานะที่เป็นองค์กรธุรกิจ มีรายได้ เพิ่มการลงทุนอีกจำนวนหนึ่งเพื่อประโยชน์ในระยะยาว โดยจดทะเบียนเป็นบริษัทให้ถูกต้อง ยื่นขอรับใบอนุญาต และปฏิบัติตามมาตรฐานการรักษาความปลอดภัย พร้อมทั้งให้ความร่วมมือกับ จนท.ตำรวจในท้องที่นั้น ๆ
ส่วนผู้ที่จะเป็นพนักงาน รปภ. ได้ จะต้องมีสัญชาติไทย จบ ม.3 ซึ่งเป็นการศึกษาภาคบังคับที่กฎหมายกำหนดไว้อยู่แล้ว เพื่อให้เป็นผู้ที่มีความรู้ในระดับที่เหมาะสม รู้เท่าทันเหตุการณ์ จะได้ปฎิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งต้องได้รับใบอนุญาต และมีหนังสือรับรองการฝึกอบรมหลักสูตร รปภ.ตามกฎหมาย โดยยื่นเรื่องที่ บช.น.หรือ บภ.จว. และไม่มีลักษณะต้องห้าม เช่น ไม่เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง หรือติดยาเสพติด ไม่วิกลจริต ไม่เคยถูกจำคุกในคดีร้ายแรง เป็นต้น"
พลตรี สรรเสริญ กล่าวต่อว่า ทุกวันนี้พนักงาน รปภ.อยู่ใกล้ชิดกับพี่น้องประชาชนมากกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะประจำอยู่ทั้งในสถานที่ทำงานและที่พักอาศัย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดกฎเกณฑ์มาตรฐานของทั้งบริษัทต้นสังกัดและตัวพนักงาน เพื่อให้เกิดความสบายใจแก่ผู้ใช้บริการ อย่างไรก็ตาม ในระยะแรกผู้ประกอบธุรกิจและพนักงานอาจมีความยุ่งยากบ้าง เพราะจะต้องจดทะเบียนบริษัท ยื่นขอรับใบอนุญาต หรือเข้ารับการฝึกอบรม แต่ขอให้คำนึงถึงประโยชน์ในระยะต่อไปด้วย
ทั้งนี้ กฎหมายได้เปิดโอกาสให้ผู้ที่เป็นพนักงาน รปภ.ก่อนวันที่ 5 มี.ค. และต้องการปฏิบัติหน้าที่ต่อ สามารถยื่นขอรับใบอนุญาตได้ภายใน 90 วัน รวมทั้งยังได้รับยกเว้นไม่ต้องผ่านการฝึกอบรมเป็นเวลา 3 ปี แต่จำเป็นต้องเข้าสู่กระบวนการฝึกอบรมจาก สตช.หากต้องการเป็น พนักงาน รปภ.ต่อไป
"ท่านนายกฯ ห่วงใยพี่น้องพนักงาน รปภ.และผู้ประกอบธุรกิจรักษาความปลอดภัย ไม่อยากให้เข้าใจผิดในเจตนารมณ์ของรัฐบาล เพียงแต่ต้องการยกระดับมาตรฐานการประกอบธุรกิจให้เป็นที่ยอมรับ และส่งเสริมให้อาชีพพนักงาน รปภ.มีเกียรติและศักดิ์ศรี เป็นที่พึ่งของประชาชน โดยคาดหวังให้เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและตำรวจ ในการป้องกันอาชญากรรมได้อีกทางหนึ่ง”
ที่มา: http://www.thaigov.go.th