วันนี้ (1 เม.ย.59) เวลา 13.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้โอวาทและบรรยายพิเศษ เรื่อง "วิถีพ่อ วิถีแห่งความพอเพียง" แก่ตัวแทนเยาวชนในโครงการ “ครอบครัวพอเพียงสู่สถานศึกษาและชุมชน” จำนวน 510 คน ซึ่งคณะมูลนิธิครอบครัวพอเพียงได้นำเข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเดินทางมาเยี่ยมชมและศึกษาดูงานทำเนียบรัฐบาล โดยมี นางภัทรภร ฐิติยาภรณ์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำด้านสังคม รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำด้านยุทศาสตร์และการวางแผน ประธานกรรมการบริหารเยี่ยมชมและศึกษาดูงานทำเนียบรัฐบาล ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ
โอกาสนี้ หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงสิ่งที่นายกรัฐมนตรีฝากให้ดูแลเยาวชนที่ได้เดินทางมาเยี่ยมชมศึกษาดูงานทำเนียบรัฐบาลวันนี้ว่า ขอให้เยาวชนทุกคนช่วยกันขับเคลื่อนประเทศไทยในกรอบความคิดเรื่องประชารัฐ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภูมิภาค เอกชน ประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งขอให้ทุกคนมีความรักในพื้นที่ท้องถิ่นของตนเอง และขยายความรักความสามัคคีไปสู่อำเภอ จังหวัด และประเทศชาติ ทั้งนี้ ประเทศไทยจะแยกกันไม่ได้ เพราะประเทศไทยมีความรักสามัคคีกันมายาวนานจนอาเซียนยกย่องประเทศไทยในเรื่องนี้เมื่อปี 2510 และสิ่งสำคัญประเทศไทยมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเป็นแบบอย่างของความดีงาม ทรงมีพระราชจริยาวัตรที่เป็นพระคุณอันประเสริฐ ทรงเป็นที่เคารพรักของประชาชนชาวไทยและชาวอาเซียน
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงจังหวัดสมุทรสงครามว่า เป็นเมืองแห่งเกียรติยศเกียรติศักดิ์ที่ชาวไทยภาคภูมิใจในความเป็นเมืองอุทยานประวัติศาสตร์ และได้รับการยกย่องให้เป็นจังหวัดแบบอย่างของภาคกลางที่จังหวัดยึดมั่นปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่างไรก็ตามได้เน้นย้ำว่าความร่ำรวยของพื้นที่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นความเจริญทางด้านความมั่นคง ความปลอดภัย ความร่มเย็นเป็นสุขเสมอไป ดังนั้น จึงอยากเห็นครอบครัวคนไทยมีความร่มเย็น ซึ่งเยาวชนทุกคนต้องช่วยกันบอกล่าวว่าอย่าทำร้ายกันในครอบครัว ลูก ๆ ก็ต้องเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครู อาจารย์ เหมือนที่พระบาทสมเด็จพรเจ้าอยู่หัว พระราชทานสอนในเรื่องต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่อง “รู้รัก สามัคคี เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ทั้งนี้ เรื่องของความอ่อนน้อมถ่อมตนถือเป็นเอกลักษณ์ของชนชาติไทย และขออย่าให้เกิดความขัดแย้งขึ้นภายในบ้าน ครอบครัวต้องมีความรักสมัครสมานกัน หากครอบครัวใดมีความขัดแย้งและเข้ามาร้องเรียน ภาครัฐช่วยได้ก็จะพยายามเข้าไปช่วยในเรื่องนี้ เพราะต้องการเห็นครอบครัวตัวอย่างที่รักกันเกิดขึ้นในสังคม
นอกจากนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอให้เยาวชนทุกคนปฏิบัติตนและแสดงออกต่อผู้อื่นด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนอันเป็นเสน่ห์และเอกลักษณ์ที่ดีงามของคนไทย รวมทั้งรักษาประวัติศาสตร์ ประเพณีวัฒนธรรมไทย และให้มีความภาคภูมิใจในภาษาถิ่นของตนเอง ขณะเดียวกันคนในประเทศไทยทุกคนต้องรักกัน ไม่แบ่งแยก โดยยึดมั่นและมีความซื่อตรงจริงใจต่อกัน มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นสำคัญ พร้อมทั้งได้นำพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า รัชกาลที่ 6 ที่ทรงห่วงใยชาวไทยพระราชทานสอนไว้ล่วงหน้าว่าอย่าแบ่งแยกและแตกแยกกัน มากล่าวให้เยาวชนได้รับทราบ “ชาติใดไร้รักสมัครสมาน จะทำการสิ่งใดก็ไร้ผล แม้ชาติย่อยยับอับจน บุคคลจะสุขอยู่อย่างไร” เพราะความจงรักภักดีแท้จริงคือความรักชาติ จึงขอฝากให้เยาวชนทุกคนร่วมกันถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ขอให้พระองค์ประทับเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับปวงชนชาวไทยตราบนานแสนนาน ทั้งนี้ มีความมั่นใจว่าเด็กและเยาวชนทุกคนจะช่วยกันนำพาประเทศไทยกลับคืนสู่ประเทศที่มีความร่มเย็นเป็นสุขใต้ร่มพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ให้จงได้
พร้อมกันนี้ ได้นำวีดิทัศน์เรื่อง “7 ทศวรรษ ใต้ร่มพระบารมี” มาเผยแพร่ให้คณะเยาวชนได้รับชมด้วย โดยเนื้อหาของวีดิทัศน์สะท้อนถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจตลอดระยะเวลาเกือบ 7 ทศวรรษ รวมทั้งความรักและจงรักภักดีของคนไทยเพื่อน้อมนำแนวพระราชดำริต่าง ๆ ไปเป็นแนวทางปฏิบัติและดำเนินชีวิต และเรื่องราวของสตรีชาวจังหวัดชุมพรซึ่งได้กล่าวถึงความภาคภูมิใจที่เกิดมาเป็นคนไทยใต้ร่มพระบารมีของล้นเกล้าทั้ง 2 พระองค์
-----------------------
กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th