วันนี้ (4 เม.ย.59) เวลา 09.00 น. ณ อาคาร 9 อิมแพค ฟอรั่ม เมืองทองธานี ถนนแจ้งวัฒนะ จังหวัดนนทบุรี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดตัวโครงการ “สินเชื่อ 1 ตำบล 1 SME เกษตร เพื่อสร้างความยั่งยืนของภาคการเกษตรไทย” มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเกษตรกรและแสดงถึงความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการสนับสนุนให้เกษตรกรสามารถยกระดับเป็นผู้ประกอบการด้านการผลิต และด้านการแปรรูปสินค้าเกษตรเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ จัดโดย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีผู้ร่วมงาน จำนวน 3,500 คน อาทิ ผู้บริหาร ธ.ก.ส. จากส่วนกลางและภูมิภาค ผู้นำเกษตรกรทั่วประเทศ ทายาทเกษตรกร อาสาในโครงการต้นกล้าผลิใบ ผู้แทนจากองค์กรเครือข่ายความร่วมมือได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม สภาเกษตรกรแห่งชาติ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศ
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้เปิดตัวโครงการ “สินเชื่อ 1 ตำบล 1 SME เกษตร เพื่อสร้างความยั่งยืนของภาคการเกษตรไทย” โดยกล่าวให้กำลังใจเกษตรกรไทย พร้อมขอบคุณผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนและ ธ.ก.ส. ทั่วประเทศ ที่ได้ทุ่มเททำงานเพื่อพัฒนาภาคเกษตรของไทยให้เข้มแข็ง เพราะอาชีพเกษตรกรถือว่ามีความยากลำบาก ความเหน็ดเหนื่อย และมีหนี้สินจำนวนมาก ขณะเดียวกันเกษตรกรก็ถือเป็นประชากรส่วนใหญ่ที่มีความสำคัญของประเทศ ซึ่งหากทำให้เกษตรกรของไทยสามารถมีความมั่งคั่ง และแข็งแรงขึ้นมาได้จะกลายเป็นพื้นฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการพัฒนาประเทศในระยะยาวข้างหน้า ซึ่งจากที่ได้เยี่ยมชมนิทรรศการตัวอย่าง SME เกษตรที่ประสบความสำเร็จของแต่ละภูมิภาค การพัฒนาการของเกษตรกรไทย วิสาหกิจชุมชน และการพัฒนาการเกษตรที่กำลังดำเนินการอยู่ ทำให้มีความหวังว่าหากเดินตามเส้นทางนี้ไปในอนาคตความเจริญ ความมั่งคั่งจะเกิดขึ้นกับภาคเกษตรไทยและภาคเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ โดยเชื่อมั่นว่าการรวมพลังของทุกภาคส่วนในรูปแบบประชารัฐจะทำให้เป็นความหวังของเกษตรกรที่จะสามารถยืนหยัดขึ้นมาได้อย่างมั่นคง และยั่งยืน ไม่แพ้เกษตรกรของประเทศอื่น เช่น เกษตรกรประเทศญี่ปุ่นที่มีความภาคภูมิใจในอาชีพเกษตรกร ได้มีการพัฒนาปรับเปลี่ยนการทำเกษตรให้เหมาะสมกับพื้นที่และสถานการณ์ จนประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำที่ไม่เพียงพอต่อการเพาะปลูก ด้วยการปรับเปลี่ยนการปลูกพืชอื่นที่ใช้น้ำน้อยควบคู่กับการปลูกข้าว และนำข้าวมาผลิตแปรรูปเป็นขนมโมจิเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและสร้าง แบรนด์เป็นของตนเอง ตลอดจนพัฒนาหมู่บ้านให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวด้านการเกษตร ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยโดย กระทรวงการเกษตรฯ ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องทำให้เกษตรกรตื่นตัวในการเปลี่ยนแปลงภาคการเกษตรของไทยเพื่อปรับเปลี่ยนการปลูกพืชให้เหมาะสมกับพื้นที่ หรือปลูกพืชอื่นร่วมกับการปลูกข้าว และมีการพัฒนาแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ตลอดจนหาตลาดรองรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้เกษตรกรของไทยมีความมั่นคง มั่งคั่งในอนาคตอย่างยั่งยืนต่อไป
พร้อมกันนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงสถานการณ์น้ำมันที่มีราคาลดลงว่า จะส่งผลทำให้ราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงภาคการเกษตรให้ทันกับสถานการณ์ดังกล่าวและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศก็จะทำให้เกษตรกรรุ่นต่อไปหันไปประกอบอาชีพอื่นที่มีรายได้ดีกว่า รัฐบาลจึงมีนโยบายที่จะปฏิรูปและเปลี่ยนแปลงให้ภาคเกษตรเข้มแข็ง โดยสร้างความตื่นตัวให้เกษตรกรได้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องเปลี่ยนแปลงภาคเกษตรในด้านต่าง ๆ เช่น การทำให้ผลิตภาพทางการเกษตรเพิ่มขึ้น การทำเกษตรแปลงใหญ่เพื่อให้สามารถใช้เครื่องจักรกลการเกษตรมาช่วยพัฒนา การบริหารจัดการนน้ำให้เพียงพอต่อการเพาะปลูกและมีแหล่งน้ำมากขึ้น การแปรรูปผลิตภัณฑ์การเกษตรให้มีความหลากหลายเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ขณะเดียวกันต้องมีการศึกษาพืชทางการเกษตรแต่ละชนิดเพื่อปลูกพืชให้เหมาะสมกับพื้นที่ และการจัดหาตลาดรองรับ ซึ่ง ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าไปดูแลและช่วยเหลือได้ รวมถึงการจำหน่ายสินค้าเกษตรผ่าน อี-คอมเมิร์ช เพื่อให้การซื้อขายสินค้าเป็นไปด้วยความสะดวกรวดเร็วและส่งออกไปจำหน่วยยังต่างประเทศได้มากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันสถานบันการศึกษาทั้งภูมิภาคและส่วนกลางสามารถเชื่อมโยงองค์ความรู้กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อถ่ายทอดความรู้ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ให้สามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเองซึ่งเป็นการสร้างความเข็มแข็งและเติบโตจากภายใน รวมถึงการสร้างการเปลี่ยนแปลงภาคการเกษตรไทยอย่างแท้จริง โดย ธ.ก.ส.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมีการกำหนดแผนการดำเนินงานในเรื่องดังกล่าวที่ชัดเจน ซึ่งขณะนี้ ธ.ก.ส. ได้เริ่มดำเนินการแล้วในเรื่องสินเชื่อ 1 ตำบล 1 SME เกษตร รวมทั้ง ส่งเสริมเกษตรกรให้มีการปลูกพืชที่มีความหลากหลาย ซึ่งจะทำให้เกษตรไทยที่ยากจนล้าสมัยมีโอกาสพัฒนาตนเองไปสู่เกษตรกรรมที่ทันสมัยทั่วประเทศ อย่างยั่งยืนต่อไป
นอกจากนี้ การสร้างการเปลี่ยนแปลงภาคเกษตรไทยต้องการสร้างการรับรู้ให้กับกับกลุ่มเป้าหมายและเกษตรกรไทยให้แพร่หลายมากขึ้น เช่น การนำข้อมูลเกษตรกรไทยด้านต่าง ๆ ที่ประสบความสำเร็จ มาเป็นต้นแบบเผยแพร่เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและเป็นแบบบอย่างให้กับเกษตรกรอื่น ๆ ได้ปฏิบัติตามต่อไป
อีกทั้ง รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความหวังว่า ต้องการเห็นความร่วมมือ ร่วมใจ มีการบูรณการกันระหว่าง ธ.ก.ส. ลูกค้า สหกรณ์การเกษตร สถาบันเกษตรกรต่าง ๆ ตลอดจนเครือข่ายทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนตามแนวประชารัฐ เพื่อพัฒนาภาคการเกษตรและภาคชนบทของไทยให้มีความเข้มแข็ง รวมทั้งขอชื่นชมทุกคนที่ให้ความสำคัญต่อการปฏิรูปภาคการเกษตรของประเทศให้มีมูลค่าสูงและให้เกิดความยั่งยืนด้วยการส่งเสริมเกษตรกรต้นแบบเปลี่ยนแปลงปฏิรูปการเกษตร ผ่านการขับเคลื่อน 1 ตำบล 1 SME เกษตร เพื่อสร้างความยั่งยืนของภาคเกษตรไทย ส่งผลให้เกษตรกรมีความมั่นคง มั่งคั่ง มีคุณภาพชีวิตที่ดี
พร้อมทั้ง รองนายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมนิทรรศการและกิจกรรมต่าง ๆ ภายในงาน อาทิ การนำเสนอตัวอย่าง SME เกษตรที่ประสบความสำเร็จของแต่ละภูมิภาค กิจกรรมจาก ธ.ก.ส.และองค์กรเครือข่ายต่าง ๆ ผ่านนิทรรศการเพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ร่วมกัน เป็นต้น
-----------------
กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th