วันนี้ ( 3 พ.ค.59) เวลา 15.25 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พลตรี สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลการประชุมฯ ว่าที่ประชุมครม.มีมติรับทราบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 ที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไปรายการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 4 สาย ชุมพร – ระนอง ตอน 4 จังหวัดชุมพร จังหวัดระนอง และรับทราบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป รายการถนนต่อเชื่อมถนนราชพฤกษ์ – ถนนกาญจนาพิเษก (แนวเหนือ – ใต้) ตอน NS1, ตอน NS2 , ตอน NS3 , และตอน CD Road
ทั้งนี้ในกรณีการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 4 สาย ชุมพร – ระนอง ตอน 4 จังหวัดชุมพร จังหวัดระนอง ซึ่ง ครม. ได้มีมติเห็นชอบในวงเงินการก่อสร้างเมื่อเดือนตุลาคม 2558 วงเงินประมาณ 1,563 ล้านบาทเศษ นั้น นายกรัฐมนตรีและครม. พิจารณาแล้วเห็นว่าราคาการก่อสร้างดังกล่าวสูงเกินไปจึงมอบหมายให้สำนักงบประมาณร่วมกับกรมทางหลวงกลับไปพิจารณารายละเอียดว่ามีส่วนใดที่สามารถปรับลดรายการลงได้ให้เหมาะสมกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งสำนักงบประมาณและกรมทางหลวงก็ได้ดำเนินการปรับลดลงและมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในบางกรณีทำให้ลดลงมาเหลือประมาณ 1,310 ล้านบาทเศษ และหลังจากการประกวดแบบ e-bidding ปรากฏว่าสามารถลดตัวเลขเศษของราคา 1,310 ล้านบาทเศษลงมาได้อีก ทำให้ราคาอยู่ที่ 1,310 ล้านบาท ซึ่งกรณีดังกล่าวทำให้เห็นว่าสามารถประหยัดงบประมาณลงไปได้จากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตั้งแต่เดือนตุลาคม 2558 จากวงเงินงบประมาณ 1,563 ล้านบาทเศษ เหลือ 1,310 ล้านบาท ซึ่งสามารถลดลงได้ถึง 252 ล้านบาทเศษ ในการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 4 สาย ชุมพร – ระนอง ขณะที่กรณีของถนนต่อเชื่อมถนนราชพฤกษ์ – ถนนกาญจนาพิเษก (แนวเหนือ – ใต้) ก็เป็นการดำเนินการในลักษณะเดียวกับการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 4 สาย ชุมพร – ระนอง
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ได้ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวว่าต่อไปนี้การดำเนินการทุกโครงการจะต้องละเอียดรอบคอบเพื่อให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณของแผ่นดินซึ่งเป็นเงินที่มาจากภาษีของประชาชนเกิดประโยชน์สูงสุด และต้องไม่มีการรั่วไหลโดยเด็ดขาด เพราะฉะนั้นทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องตรวจสอบให้เกิดความชัดเจน รวมทั้ง ได้ให้ข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า สาเหตุที่มีการลดราคาได้จำนวนมากในการดำเนินการของ 2 โครงการดังกล่าว เป็นไปได้หรือไม่ว่าเกิดจากที่มีการตั้งราคากลางไว้ตั้งแต่ตอนแรกสูงเกินไป ดังนั้นต่อไปนี้หน่วยงานที่จะก่อสร้างหรือจะดำเนินโครงการใด ๆ การจัดตั้งราคากลางต้องมีความเหมาะสม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมกันตรวจสอบไม่ให้มีการตั้งราคากลางไว้สูงจนเกินไป ขณะเดียวกันที่ผ่านมาในอดีตก่อนที่รัฐบาลชุดปัจจุบันภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน จะพบว่าการประกวดราคาและการประมูลนั้น ราคาที่ประกวดกันได้ส่วนใหญ่จะห่างจากราคากลางเพียงเล็กน้อยตรงนี้จึงทำให้เกิดเป็นข้อสงสัยทั้งจากประชาชนและรัฐบาลชุดปัจจุบันว่า ทำไมผู้ประกวดราคาจึงให้ราคาที่ใกล้เคียงกับราคากลางมาก เสมือนรู้เห็นเป็นใจกัน หรือเป็นการรับทราบราคากลางก่อนหรือไม่ แล้วมาบิดราคาใกล้กับราคากลางมากเกินไป ทั้งนี้ข้อสังเกตดังกล่าวของนายกรัฐมนตรี จึงฝากเน้นย้ำกับรัฐมนตรีทุกกระทรวงว่าไม่ว่าบุคคลใดจะจัดทำโครงการใดจะต้องคำนึงถึงหลักเกณฑ์และหลักการที่ถูกต้อง รวมถึงข้อสังเกตที่นายกรัฐมนตรีได้ให้ไว้ประกอบการดำเนินการด้วย ซึ่งหากตรวจสอบพบการทุจริตประพฤติมิชอบ มีส่วนรู้เห็นเป็นใจ จะต้องถูกลงโทษโดยทันทีสถานหนัก
--------------------------
กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th