ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายเอิร์นเนส ซี โบเวอร์ (Mr. Ernest Z. Bower ประธานสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน (U.S.-ASEAN Business Council-USABC) และคณะนักธุรกิจชั้นนำจากบริษัทต่าง ๆ ของสหรัฐฯ เข้าเยี่ยมคารวะพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเดินทางมาเยือนไทย ระหว่างวันที่ 9-11 ตุลาคม 2544 ภายหลังกล่าวต้อนรับ ได้มีการสนทนา สรุปสาระสำคัญของการสนทนาได้ดังนี้
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมบทบาทของ USABC ในการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และประเทศอาเซียน พร้อมทั้งกล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศ และไม่มีนโยบายปิดประเทศแต่อย่างใด ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดในช่วงที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศในช่วงแรก
ในโอกาสนี้ ประธานสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียนได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรี ที่ได้ให้มีโอกาสแก่คณะนักธุรกิจ สหรัฐฯในการเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ ซึ่งนอกจากจะเป็นการกระชับความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันแล้ว ยังเป็นโอกาสอันดีที่คณะนักธุรกิจสหรัฐฯจะได้พูดคุยทำความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ กับรัฐบาลไทย เพื่อจะได้นำข้อมูลและข้อเท็จจริงต่าง ๆไปเผยแพร่ให้แก่นักธุรกิจสหรัฐฯ เพื่อการขยายความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนของไทยและสหรัฐฯ ให้มากยิ่งขึ้น
ในการนี้ นักธุรกิจสหรัฐฯ อาทิ กลุ่มบริษัทโทรคมนาคมสื่อสาร/คมนาคมขนส่ง กลุ่มบริษัทยาและเครื่องมือแพทย์ กลุ่มบริษัทคอมพิวเตอร์ กลุ่มบริษัทธุรกิจการเงิน กลุ่มบริษัทพลังงาน กลุ่มบริษัทวิศวกรรมก่อสร้าง/การจัดการธุรกิจ เป็นต้น ได้สนทนาแลกเปลี่ยนและแนะนำนักธุรกิจแก่นายกรัฐมนตรี พร้อมกับได้รายงานข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย อาทิ กลุ่มบริษัทโทรคมนาคมสื่อสาร/คมนาคมขนส่ง ได้กล่าวถึงแผนการดำเนินโครงการยกเครื่อง (reengineering) งานด้านการตรวจสอบของศุลกากร โดยจะมีการศึกษาหาวิธีที่ดีที่สุดเพื่อมาใช้ในประเทศไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความ ยินดีและเห็นว่าประเทศไทยมีความพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางในการขนส่งสินค้าในภูมิภาค (Regional Hub For Cargo) และในอนาคตอันใกล้นี้ประเทศไทยกำลังจะมีสนามบินแห่งใหม่เพื่อรองรับการพัฒนาและการขยายตัวด้านการขนส่งและคมนาคม ทั้งนี้ รัฐบาลตระหนักดีว่าประเทศไทยจะต้องเพิ่มประสิทธิภาพ โดยการปรับปรุงระบบกฎหมายและระบบราชการ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง เพื่อส่งเสริมการลงทุนในภาคธุรกิจต่าง ๆ
ในส่วนของนักธุรกิจกลุ่มบริษัทยาและเครื่องมือแพทย์ ได้กล่าวถึงความร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข และได้แสดงความสนใจ ในโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค โดยพร้อมที่จะให้ความร่วมมือและการสนับสนุนโครงการดังกล่าวให้ประสบความสำเร็จ โดยในการนี้ นายกรัฐมนตรีได้เสนอความเห็นว่าไทยและสหรัฐฯอาจมีความร่วมมือในการลงทุนด้านห้องทดลอง ซึ่งสหรัฐฯมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ขณะที่ไทยมีวัตถุดิบสมุนไพรต่างๆ อยู่มาก สำหรับบริษัท American Express ก็มีความสนใจธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยพร้อมที่จะร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เนื่องจากเห็นว่า ประเทศไทยมีความปลอดภัย และมีความพร้อม และศักยภาพในทุก ๆ ด้าน สำหรับการดำเนินธุรกิจท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังมีความสนใจในการพัฒนาบัตรเครดิต ให้มีความยุติธรรม ระหว่าง ผู้ใช้บัตรและผู้ออกบัตรเครดิต ซึ่งในเรื่องนี้ได้มีการหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับเรื่องกฎหมาย ที่สนับสนุนการพัฒนาบัตรเครดิตนี้ได้
ในตอนท้าย ประธานสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียนได้กล่าวว่า ทางสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียนมีความยินดีที่จะสนับสนุน และเผยแพร่ข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับประเทศไทยให้กับนักลงทุนสหรัฐฯ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวย้ำถึงแนวทาง outside-in approach กล่าวคือ การรับทราบข้อคิดเห็นของนักลงทุนต่างชาติว่าควรปรับปรุงสิ่งใด อย่างไรบ้าง พร้อมกับกล่าวแสดงความเห็นว่าประเทศอาเซียน ควรเร่งสร้างเสริมและพัฒนาความแข็งแกร่งภายในประเทศของตนเอง และในส่วนของความร่วมมือภาคเอกชน รัฐบาลยินดีที่ จะสนับสนุน การดำเนินงานของนักธุรกิจไทยและสหรัฐ เนื่องจากทั้งสองประเทศต่างมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมายาวนาน
ฝ่ายสื่อมวลชนสัมพันธ์ สำนักโฆษก โทรภายใน 8055 โทร 0 2629 9292, 0 2629 9491 โทรสาร 0 2281 4450--จบ--
-สส-
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมบทบาทของ USABC ในการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และประเทศอาเซียน พร้อมทั้งกล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศ และไม่มีนโยบายปิดประเทศแต่อย่างใด ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดในช่วงที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศในช่วงแรก
ในโอกาสนี้ ประธานสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียนได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรี ที่ได้ให้มีโอกาสแก่คณะนักธุรกิจ สหรัฐฯในการเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ ซึ่งนอกจากจะเป็นการกระชับความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันแล้ว ยังเป็นโอกาสอันดีที่คณะนักธุรกิจสหรัฐฯจะได้พูดคุยทำความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ กับรัฐบาลไทย เพื่อจะได้นำข้อมูลและข้อเท็จจริงต่าง ๆไปเผยแพร่ให้แก่นักธุรกิจสหรัฐฯ เพื่อการขยายความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนของไทยและสหรัฐฯ ให้มากยิ่งขึ้น
ในการนี้ นักธุรกิจสหรัฐฯ อาทิ กลุ่มบริษัทโทรคมนาคมสื่อสาร/คมนาคมขนส่ง กลุ่มบริษัทยาและเครื่องมือแพทย์ กลุ่มบริษัทคอมพิวเตอร์ กลุ่มบริษัทธุรกิจการเงิน กลุ่มบริษัทพลังงาน กลุ่มบริษัทวิศวกรรมก่อสร้าง/การจัดการธุรกิจ เป็นต้น ได้สนทนาแลกเปลี่ยนและแนะนำนักธุรกิจแก่นายกรัฐมนตรี พร้อมกับได้รายงานข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย อาทิ กลุ่มบริษัทโทรคมนาคมสื่อสาร/คมนาคมขนส่ง ได้กล่าวถึงแผนการดำเนินโครงการยกเครื่อง (reengineering) งานด้านการตรวจสอบของศุลกากร โดยจะมีการศึกษาหาวิธีที่ดีที่สุดเพื่อมาใช้ในประเทศไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความ ยินดีและเห็นว่าประเทศไทยมีความพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางในการขนส่งสินค้าในภูมิภาค (Regional Hub For Cargo) และในอนาคตอันใกล้นี้ประเทศไทยกำลังจะมีสนามบินแห่งใหม่เพื่อรองรับการพัฒนาและการขยายตัวด้านการขนส่งและคมนาคม ทั้งนี้ รัฐบาลตระหนักดีว่าประเทศไทยจะต้องเพิ่มประสิทธิภาพ โดยการปรับปรุงระบบกฎหมายและระบบราชการ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง เพื่อส่งเสริมการลงทุนในภาคธุรกิจต่าง ๆ
ในส่วนของนักธุรกิจกลุ่มบริษัทยาและเครื่องมือแพทย์ ได้กล่าวถึงความร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข และได้แสดงความสนใจ ในโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค โดยพร้อมที่จะให้ความร่วมมือและการสนับสนุนโครงการดังกล่าวให้ประสบความสำเร็จ โดยในการนี้ นายกรัฐมนตรีได้เสนอความเห็นว่าไทยและสหรัฐฯอาจมีความร่วมมือในการลงทุนด้านห้องทดลอง ซึ่งสหรัฐฯมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ขณะที่ไทยมีวัตถุดิบสมุนไพรต่างๆ อยู่มาก สำหรับบริษัท American Express ก็มีความสนใจธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยพร้อมที่จะร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เนื่องจากเห็นว่า ประเทศไทยมีความปลอดภัย และมีความพร้อม และศักยภาพในทุก ๆ ด้าน สำหรับการดำเนินธุรกิจท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังมีความสนใจในการพัฒนาบัตรเครดิต ให้มีความยุติธรรม ระหว่าง ผู้ใช้บัตรและผู้ออกบัตรเครดิต ซึ่งในเรื่องนี้ได้มีการหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับเรื่องกฎหมาย ที่สนับสนุนการพัฒนาบัตรเครดิตนี้ได้
ในตอนท้าย ประธานสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียนได้กล่าวว่า ทางสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียนมีความยินดีที่จะสนับสนุน และเผยแพร่ข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับประเทศไทยให้กับนักลงทุนสหรัฐฯ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวย้ำถึงแนวทาง outside-in approach กล่าวคือ การรับทราบข้อคิดเห็นของนักลงทุนต่างชาติว่าควรปรับปรุงสิ่งใด อย่างไรบ้าง พร้อมกับกล่าวแสดงความเห็นว่าประเทศอาเซียน ควรเร่งสร้างเสริมและพัฒนาความแข็งแกร่งภายในประเทศของตนเอง และในส่วนของความร่วมมือภาคเอกชน รัฐบาลยินดีที่ จะสนับสนุน การดำเนินงานของนักธุรกิจไทยและสหรัฐ เนื่องจากทั้งสองประเทศต่างมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมายาวนาน
ฝ่ายสื่อมวลชนสัมพันธ์ สำนักโฆษก โทรภายใน 8055 โทร 0 2629 9292, 0 2629 9491 โทรสาร 0 2281 4450--จบ--
-สส-