วันนี้ (16 มิ.ย. 59) เวลา 09.00 น. ณ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน CLMVT Forum 2016 และกล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อ CLMVT: Prosper Together สรุปสาระสำคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับรัฐมนตรี และผู้เข้าร่วมงานจากประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม สู่ประเทศไทย หวังว่าการประชุมในครั้งนี้จะเป็นเวทีที่สร้างสรรค์และนำไปสู่ความร่วมมืออย่างเป็นเอกภาพ เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันในภูมิภาค
ประเทศ CLMVT เป็นดินแดนที่สมบูรณ์ และมีความหลากหลาย ทั้งด้านพื้นที่ วัฒนธรรม ชนชาติ และภาษา มีความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน รวมทั้งมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การค้า ที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยน และไปมาหาสู่กัน
ภายหลังการรวมกันของประเทศในภูมิภาคเป็น อาเซียน (ASEAN) ในปี ค.ศ. 1967 จนถึงการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี ค.ศ. 2007 ทำให้ CLMVT มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น อาเซียนถือเป็นเวทีที่ช่วยกระชับและเสริมสร้างความสัมพันธ์ของทุกประเทศ โดย CLMVT ถือเป็นผู้เล่นสำคัญในภูมิภาค ที่ช่วยให้อาเซียนก้าวไปข้างหน้าและมีบทบาทในเศรษฐกิจโลก
นายกรัฐมนตรีเห็นว่า ความสามารถในของแข่งขันของประเทศอย่างเดียวไม่เพียงพอในปัจจุบัน จำเป็นต้องมองไปถึงความสามารถในการแข่งขันของภูมิภาค ซึ่งการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ ควรตั้งอยู่บนหลัก 3 ประการ คือ ความจริงใจต่อกัน (Sincerity) ความร่วมใจกัน (Mutuality : 3M) ทั้งในมิติของความเชื่อใจกัน (Mutual Trust) เคารพกันและกัน (Mutual Respect) และผลประโยชน์ร่วมกัน (Mutual Benefit) และความเกื้อกูลกันและกัน (Reciprocity) ซึ่งจะทำให้ทุกประเทศแข็งแกร่งไปด้วยกัน (Stronger Together) โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง รวมถึงจะเป็นการลดช่องว่างทางเศรษฐกิจและเพิ่มความสมดุลของการพัฒนา อันนำไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนตามแนวทางของสหประชาชาติด้วย
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จุดประสงค์ของการจัด CLMVT Forum 2016 ในครั้งนี้ เพื่อร่วมกันเสริมสร้างความเข้มแข็ง ศักยภาพ และสร้างเครือข่ายระหว่างผู้นำทางภาครัฐและภาคเอกชนของทั้ง 5 ประเทศ โดยมุ่งหวังให้ภาคเอกชนเป็นผู้ขับเคลื่อนหลัก ซึ่งในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังได้เสนอประเด็นสำคัญเพื่อใช้ในการหารือ
การสร้างความเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค และสามารถเชื่อมต่อห่วงโซ่การผลิตในภูมิภาค ซึ่งภาคเอกชนถือเป็นหัวใจสำคัญ ภาคธุรกิจของ CLMVT นั้นมีบทบาทในหลายอุตสาหกรรม ทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ อีกทั้งยังมีความตกลงของภาครัฐรองรับ เช่น ACMECS GMS และ BIMSTEC ซึ่งทุกประเทศสามารถต่อยอดความร่วมมือให้ลึกซึ้งมากขึ้นในระดับภาคเอกชนและประชาชน โดยเฉพาะในอนุภูมิภาคตามแนวพื้นที่ที่เชื่อมต่อกัน นอกจากนี้ CLMVT ยังตั้งอยู่ระหว่างจีนกับอินเดีย ที่มีประชากรมากเป็นลำดับ 1 และ 2 ของโลก โดยเราสามารถใช้ปัจจัยด้านภูมิศาสตร์นี้มาเป็นประโยชน์ในทางเศรษฐกิจได้มากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ CLMVT ยังมีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และมีพื้นที่ทำการเกษตรที่สมบูรณ์จำนวนมาก โดยการยกระดับคุณภาพและมูลค่าตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยเฉพาะสินค้าเอกลักษณ์อย่างผลิตภัณฑ์ Geographical Indication หรือ GI เช่น ข้าว กาแฟ ชา และการสนับสนุนภาคเกษตรและเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นให้เข้มแข็ง CLMVT ยังมีจุดเด่นด้านความหลากหลายทางวัฒนธรรมของประชาชน ทำให้มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการผลิตสินค้าเกี่ยวเนื่องกัน ที่สามารถขยายต่อไปได้ และจะเป็นประโยชน์ร่วมกัน
นายกรัฐมนตรีหวังว่า รัฐบาลไทยและ CLMV จะใช้โอกาสนี้ในการขยายช่องทางการติดต่อ แลกเปลี่ยนความร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชนในภูมิภาคให้มากขึ้น ทั้งด้านการผลิตและพันธมิตรการค้าในกลุ่มสินค้าและบริการที่ CLMVT เห็นว่าสามารถเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตที่เกื้อกูลกันในภูมิภาคได้ โดยเฉพาะในกลุ่มพื้นที่ที่ติดกันและเขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดน โดยเติมเต็มจุดแข็งของกันและกัน เพื่อยกระดับคุณภาพและมูลค่าเพิ่มของสินค้าและบริการตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อตอบสนองความต้องการและมาตรฐานสากลร่วมกัน
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำว่า CLMVT ร่วมกับอีก 5 ประเทศในอาเซียนจะกลายเป็นฐานการตลาดที่ใหญ่ และหากรวมกับจีนและอินเดีย ก็จะเป็นกลุ่มที่มีฐานการตลาดและประชากรใหญ่ที่สุดในโลก คือกว่า 3,000 ล้านคน ทุกประเทศต้องเริ่มสร้างความเจริญเข้มแข็งจากภายใน ก่อนจะก้าวไปสู่ตลาดโลก ซึ่งการหารือร่วมกันในวันนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนา และการสร้างความเข้มแข็งจากภายใน เพื่อก้าวไปสู่ความเจริญก้าวหน้าร่วมกันอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
ที่มา: http://www.thaigov.go.th