พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพานิชย์พบหารือกับภาคเอกชนไทยที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในอินเดีย ซึ่งประกอบไปด้วยผู้บริหารและผู้แทนของบริษัทชั้นนำ กว่า 50 ราย
วันนี้ (17 มิ.ย. 59) เวลา 10.35 น. ณ ห้อง Grand Ballroom โรงแรมที่พัก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพานิชย์พบหารือกับภาคเอกชนไทยที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในอินเดีย ซึ่งประกอบไปด้วยผู้บริหารและผู้แทนของบริษัทชั้นนำ กว่า 50 ราย อาทิ บริษัท ซีพีเอฟ (อินเดีย) บริษัท เดลต้าอิเล็กทรอนิคส์ บริษัท พฤกษาเรียลเอสเตท บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ บริษัท อิตาเลียนไทยดีเวล๊อปเมนต์ ธนาคารกรุงไทย บริษัท ไทยซัมมิท ออโตพาร์ท สายการบินบางกอก แอร์เวย์ เป็นต้น ภายหลังการหารือ พลตรี วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย ดังนี้
นายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณภาคเอกชนไทยที่เข้ามาขยายตลาดและลู่ทางการค้าการลงทุนในอินเดีย ซึ่งตรงกับนโยบายของรัฐบาลปัจจุบัน ที่ส่งเสริมให้ภาคเอกชนเป็นกลไกหลักในการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจ โดยวันนี้ ต้องการทราบถึง การดำเนินธุรกิจของไทยในอินเดีย รวมทั้ง ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ของการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ เพื่อที่รัฐบาลจะได้ช่วยหาแนวทางแก้ไข รวมทั้ง ช่วยส่งเสริมหรืออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการไทยได้ โดยนายกรัฐมนตรี ยินดีที่ทราบว่าภาคเอกชนไทยได้เข้ามาสร้างชื่อเสียงให้ทั้งรัฐบาลและประชาชนชาวอินเดียเห็นศักยภาพของไทย อาทิ โครงการของบริษัทอิตาเลียนไทยฯ ในการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารของสนามบินในอินเดียที่ เมืองอาห์เมดาบาด รัฐคุชราต และที่เมืองกัลกัตตา ซึ่งได้รับคำชื่นชมถึงความสวยงามและสะดวกสบาย นอกจากนี้ ยังมี outlet ของไก่ห้าดาว หรือที่ใช้ชื่อว่า Five Star Caf? ที่มีเป้าหมายจะขยายสาขาจากปัจจุบันกว่า 300 สาขา เป็นกว่า 500 สาขาภายในปีนี้ ทราบว่า บริษัทฯ ได้ประชาสัมพันธ์ไก่ห้าดาวเป็นอาหารฮาลาล เพื่อเอาใจชาวมุสลิมในอินเดียซึ่งมีอยู่เกือบ 200 ล้านคน
ในโอกาสนี้ ผู้แทนภาคเอกชน ได้กล่าวถึงศักยภาพทางธุรกิจของไทยในอินเดีย ซึ่งมีตลาดใหญ่ และมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก คนอินเดียส่วนใหญ่เชื่อมั่นและนิยมสินค้าจากไทย เนื่องจากมีภาพลักษณ์และคุณภาพที่ดีโดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์ ผลิตภัณฑ์อาหาร เครื่องใช้ภายในบ้าน และผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก อย่างไรก็ดี ความท้าทายของการทำการค้ากับอินเดีย ได้แก่ ความหลากหลายของพฤติกรรมผู้บริโภคในตลาดอินเดีย กฎระเบียบและข้อบังคับต่าง ๆ และการลอกเลียนแบบและการบังคับใช้กฎหมายลิขสิทธิ์ รวมถึง ความยากลำบากในการนำเข้าสินค้าไทย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์อาหาร ที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้าแต่ละครั้งในใช้เวลานาน
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงความเข้าใจต่อปัญหาและอุปสรรคของภาคธุรกิจไทย โดยจะหยิบยกเพื่อหารือในระหว่างการหารือกับผู้แทนระดับสูงที่เกี่ยวข้องของรัฐบาลอินเดียต่อไป พร้อมสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยให้ติดตามดูแลประเด็นดังกล่าว
ที่มา: http://www.thaigov.go.th