วันนี้ (10 ส.ค.59) เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ครั้งที่ 3/2559 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมี พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เข้าร่วมประชุมด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ประธานแจ้งที่ประชุมรับทราบโดยได้กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคนที่ได้จัดเตรียมการสาธิตแสดงยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งเป็นอนาคตของประเทศไทยที่จำเป็นจะต้องเตรียมความพร้อมทุกอย่างตั้งแต่วันนี้ โดยนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลยังคงยึดถือตามแนวทางเดิมโดยไม่ให้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ อื่น ๆ ที่อยู่ในประเทศไทย ทั้งนี้ การทำงานดังกล่าวถือเป็นการบูรณาการร่วมกันของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและธุรกิจที่จะมีส่วนร่วมกันในการกำหนดนโยบายและแนวทางในการปฏิบัติเพื่อไม่เกิดให้ปัญหาความขัดแย้งขึ้นอีก และสร้างความเข้มแข็งในเรื่องความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยต่อไป
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมได้แสดงความห่วงใยต่อการลงทุนเรื่องของพลังงานทดแทน และการวางแผนพลังงานในอนาคต ซึ่งวันนี้มีความก้าวหน้าตามลำดับโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของการปรับการใช้พลังงานทดแทนใน 2 ปีที่ผ่านมาได้เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากเร็วกว่าแผนที่วางไว้ ทั้งนี้การดำเนินการในเรื่องใดก็ตามรัฐบาลจะพยายามแก้ไขปัญหาไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนของประเทศโดยรวมให้ได้ โดยต้องคำนึงถึงทุกกิจกรรมที่เกี่ยวข้องและมีแนวทางดูแลไม่ทำให้ประชาชนหรือผู้บริโภคได้รับความเดือดร้อน อย่างไรก็ตามการลงทุนในเรื่องของกิจการพลังงานต้องใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมาก เพื่อให้เกิดความมีเสถียรภาพและความมั่นคงทางด้านพลังงานเมื่อถึงเวลาจำเป็นให้ประเทศสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาพลังงานจากภายนอกประเทศ ซึ่งเรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจะต้องเตรียมความพร้อมรองรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไว้ด้วยถึงแม้ขณะนี้จะยังไม่มีปัญหาเกิดขึ้นก็ตาม
ด้านนายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยนายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานและโฆษกกระทรวงพลังงาน และนายวีระพล จิรประดิษฐกุล โฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ได้ร่วมกันแถลงผลการประชุมสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
ที่ประชุม กพช. ได้เห็นชอบในหลักการแผนงานพัฒนาระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะที่ 1 (SEZ1) ใน 6 พื้นที่จังหวัดชายแดน ได้แก่ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด และอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ซึ่งประกอบไปด้วย แผนระบบส่ง แผนระบบจำหน่าย และแผนงานพัฒนาพลังงานทดแทนในพื้นที่ SEZ1 เพื่อให้ระบบไฟฟ้าสามารถรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าได้อย่างเพียงพอในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ)
รวมทั้ง ที่ประชุม กพช. ยังได้เห็นชอบในหลักการแนวทางการลงทุนปรับปรุงและก่อสร้างระบบส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) วงเงินรวมกว่า 7,350 ล้านบาท รวมทั้งการส่งเสริมให้มีโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และอำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร โดยมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาแผนและรายละเอียดในการเตรียมการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนตามระดับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต
ขณะเดียวกันที่ประชุม กพช. ได้เห็นชอบการขยายกรอบความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) จาก 7,000 เมกะวัตต์ เป็น 9,000 เมกะวัตต์ พร้อมเห็นชอบในหลักการร่างบันทึกความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าระหว่างไทยกับ สปป.ลาว (MOU) โดยมอบหมายให้กระทรวงพลังงานเตรียมการลงนามใน MOU ดังกล่าว ทั้งนี้ การขยายกรอบความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าฯ ดังกล่าว เป็นไปเพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต รวมทั้งยังเป็นการสนับสนุนการพัฒนาเชื่อมโยงโครงข่ายระบบไฟฟ้าของทั้งสองประเทศเข้าด้วยกัน ก่อนยกระดับสู่การเป็น Regional Grid ต่อไป
อีกทั้งที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับเรื่องการนำส่งเงินเข้ากองทุนพัฒนาไฟฟ้า สำหรับผู้รับใบอนุญาตผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรม ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้มีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานขยะ ทั้งขยะชุมชนและขยะอุตสาหกรรม แต่การนำส่งเงินเข้ากองทุนฯ มีเพียงขยะชุมชน โดยไม่รวมถึงขยะอุตสาหกรรม ดังนั้น เพื่อให้การนำส่งเงินเข้ากองทุนฯ ครอบคลุมถึงการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรม ที่ประชุม กพช. จึงเห็นชอบกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรมนำส่งเงินเข้ากองทุนพัฒนาไฟฟ้าในอัตรา 1 สตางค์/หน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้ในแต่ละเดือนเช่นเดียวกับพลังงานหมุนเวียนประเภทอื่นๆ
นอกจากนี้ ที่ประชุม กพช. ได้รับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนการขับเคลื่อนภารกิจด้านพลังงานเพื่อส่งเสริมการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทย ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2559 โดยมีความคืบหน้าการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ เพื่อผลักดันให้เป็นไปตามแผนฯ ในระยะที่ 1 คือ การเตรียมความพร้อมการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า (พ.ศ. 2559-2560) สรุปดังนี้
- การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) อยู่ระหว่างดำเนินการ 3 โครงการ ประกอบด้วย (1) โครงการนำร่องสาธิตการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้ารถยนต์มินิบัสไฟฟ้า และสถานีอัดประจุไฟฟ้า(Charging Station) (2) โครงการนำร่องการใช้เทคโนโลยีสมาร์ทกริดเพื่อบริหารการใช้ไฟฟ้าของยานยนต์ไฟฟ้า และ (3) โครงการศึกษาพัฒนามาตรฐานและเกณฑ์ประสิทธิภาพขั้นสูงรองรับการติดฉลากเบอร์ 5 สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและสถานีอัดประจุไฟฟ้า
- การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) อยู่ระหว่างดำเนินโครงการการจัดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า 4 สถานี เพื่อรองรับโครงการนำร่องรถโดยสารสาธารณะไฟฟ้าขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)
- การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) อยู่ระหว่างดำเนินโครงการนำร่องรถโดยสารสาธารณะไฟฟ้าและจัดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าจำนวน 4 แห่ง เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวเส้นทางสุวรรณภูมิ–พัทยา คาดว่าจะสามารถเปิดให้ใช้บริการได้ภายในปี 2560
- บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) อยู่ระหว่างดำเนินโครงการนำร่องรถโดยสารรับส่งพนักงานจาก ปตท. สำนักงานใหญ่–BTS สถานีหมอชิต คาดว่าจะสามารถเปิดให้ใช้บริการได้ภายในปี 2560
- องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) อยู่ระหว่างดำเนินโครงการจัดหารถโดยสารสาธารณะไฟฟ้า จำนวน 200 คัน คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน 2560
- สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน อยู่ระหว่างดำเนินโครงการสนับสนุนการลงทุนสถานีอัดประจุไฟฟ้า โดยได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อจัดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า สำหรับหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจและภาคเอกชน จำนวน 100 สถานี โดยสถานีอัดประจุไฟฟ้าแบบ Quick Charge จะให้การสนับสนุน 1 ล้านบาท/สถานี และสถานีอัดประจุไฟฟ้าแบบ Normal Charge จะให้การสนับสนุน 1 แสนบาท/สถานี
2) การส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย อาทิ
- กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ดำเนินการด้านมาตรฐานความปลอดภัยการตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าภายในสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง
- คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ดำเนินการด้านมาตรฐานการตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าและมาตรฐานการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า ตลอดจนการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าและการออกใบอนุญาตในการจำหน่ายไฟฟ้า
- สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ดำเนินการกำหนดมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า ได้แก่ รูปแบบเต้ารับ และเต้าเสียบ ฯลฯ
- กรมการขนส่งทางบก อยู่ระหว่างการปรับปรุงประกาศ เรื่อง กำหนดกำลังมอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ขับเคลื่อนตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์
พร้อมทั้ง ที่ประชุม กพช. รับทราบรายงานความคืบหน้าสถานะการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ณ เดือน มิถุนายน 2559 พบว่า ภาพรวมมีโครงการที่มีพันธะผูกพันกับภาครัฐแล้ว 7,234 ราย คิดเป็นกำลังการผลิตติดตั้งรวม 9,223 เมกะวัตต์ จากเป้าหมายของแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2558-2579 (AEDP 2015) ที่กำหนดไว้ 16,778 เมกะวัตต์ ในปี 2579 โดยมีสถานภาพการรับซื้อ ดังนี้
1) โครงการที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบไฟฟ้า (COD) แล้ว จำนวน 6,992 ราย กำลังผลิตติดตั้ง 6,380 เมกะวัตต์
2) โครงการที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) แล้วและอยู่ระหว่างรอ COD จำนวน 157 ราย กำลังผลิตติดตั้ง 2,113 เมกะวัตต์
3) โครงการที่มีการตอบรับซื้อไฟฟ้าแล้ว จำนวน 85 ราย กำลังผลิตติดตั้ง 730 เมกะวัตต์
รวมถึง ที่ประชุม กพช. รับทราบรายงานความคืบหน้าการบังคับใช้เกณฑ์มาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานในอาคาร (Building Energy Code) ซึ่งขณะนี้คณะอนุกรรมการได้มีมติเห็นชอบการแก้ไขร่างกฎกระทรวง ในการกำหนดประเภทหรือขนาดของอาคาร และมาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีการ ในการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน และอยู่ระหว่างการพิจารณาแก้ไขรายละเอียดร่างประกาศกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการควบคุมอาคารพิจารณาต่อไป นอกจากนี้ ยังได้มีการเตรียมเจ้าหน้าที่ผู้อนุญาตแบบก่อสร้าง และผู้ตรวจรับรองแบบอาคาร เพื่อรองรับการบังคับใช้กฎกระทรวงฯ ดังกล่าวในอนาคต รวมทั้งดำเนินการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ และเห็นถึงความสำคัญของการออกแบบอาคารอนุรักษ์พลังงานซึ่งจะช่วยลดต้นทุนของผู้ประกอบการและสร้างผลกำไรทางธุรกิจ
-------------------------
กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก
ข้อมูล:สำนักนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน
ที่มา: http://www.thaigov.go.th