วันนี้ (7 ก.ย. 59) เวลา 14.45 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ 19 พร้อมด้วยผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียน นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน และนางสาวปัก กึน เฮ ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี โดยภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พลตรี วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญในส่วนของประเทศไทย ดังนี้
ในกรอบอาเซียนบวกสาม นายกรัฐมนตรียินดีที่ความร่วมมือกรอบอาเซียนบวกสามจะครบรอบ 20 ปี ในปีหน้านี้ ซึ่งสะท้อนถึงความยั่งยืนของการเป็นหุ้นส่วนเพื่อสร้างสรรค์สันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค ภายใต้เป้าหมายร่วมกันที่จะมุ่งไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกภายในปี ค.ศ. 2020
นอกจากนี้ ไทยยินดีต่อความก้าวหน้าในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการตามข้อเสนอแนะของกลุ่มวิสัยทัศน์เอเชียตะวันออก รุ่นที่ 2 ซึ่งไทยให้ความสำคัญและรับเป็นประเทศผู้ประสานงานใน 3 หัวข้อหลัก ได้แก่ ความเชื่อมโยงในภูมิภาค การส่งเสริมธรรมาภิบาล และนโยบายประชากร และจะผลักดันให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรมต่อไป
โดยนายกรัฐมนตรีได้เสนอในที่ประชุมให้มีการเร่งส่งเสริมความร่วมมือในกรอบอาเซียนบวกสาม ดังนี้
ประการแรก เร่งเดินหน้าและพัฒนาความร่วมมือด้านความเชื่อมโยงระหว่างกัน เพราะการเชื่อมโยงและโครงสร้างขั้นพื้นฐานเป็นกุญแจสู่ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ ความมั่นคงที่ยั่งยืน และการไปมาหาสู่ของประชาชนที่สะดวกและรวดเร็ว ไทยสนับสนุนการดำเนินการตามแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน 2025 หรือ “เอ็มแพ็ค 2025” เพื่อให้ภูมิภาคเกิดการเชื่อมโยงที่ไร้รอยต่อและสร้างระเบียงทางเศรษฐกิจที่แท้จริง
อาเซียนบวก 3 ต้องเร่งสร้างโอกาสใหม่ ๆ ทางเศรษฐกิจให้แก่ประชาชนในภูมิภาค โดยสนับสนุนการเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน การเข้าถึงแหล่งทุนในการพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐานคุณภาพสูง รวมทั้งสนับสนุนการค้าและการลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดน เพื่อเชื่อมต่อธุรกิจท้องถิ่นและธุรกิจขนาดกลางเล็กและย่อม (เอ็มเอ็สเอ็มอีส์) ให้เข้าสู่ระบบห่วงโซ่การผลิตในภูมิภาคและของโลก
ประการที่สอง ส่งเสริมความร่วมมือด้านเกษตรกรรมและนวัตกรรมทางการเกษตร การเกษตรเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาค รวมทั้ง เป็นฐานรากที่สำคัญของความมั่นคงทางอาหารและพลังงานทางเลือก แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ความผันผวนของราคาสินค้าเกษตร รวมทั้ง การลดจำนวนลงของเกษตรกรรุ่นใหม่ จึงต้องหาทางเพิ่มศักยภาพด้านการผลิตในภาคเกษตรกรรม
นายกรัฐมนตรีจึงเห็นว่า ควรมีการขยายความร่วมมือเรื่องความมั่นคงด้านอาหารและการรับมือกับผลกระทบจากภัยพิบัติร้ายแรง ไทยซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักเลขานุการคลังสำรองข้าวฉุกเฉินอาเซียนบวกสาม หรือ “แอฟเตอร์” ได้สนับสนุนการดำเนินการของ “แอฟเตอร์” เช่น การให้สถานะทางนิติบุคคล เอกสิทธิ์ และการอำนวยความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่ชาวต่างชาติ และจะสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพของ “แอฟเตอร์” เพื่อให้เกิดความพร้อมในการส่งผ่านความช่วยเหลือตามคำร้องอย่างทันท่วงที
ประการที่สาม รักษาเสถียรภาพทางการเงินและการคาดการณ์ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ความร่วมมือด้านการเงินการคลังในกรอบอาเซียนบวกสามถือเป็นจุดเด่น เราต้องสร้างความเข้มแข็งให้กับกลไกหลัก ได้แก่ “มาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่พหุภาคี” (CMIM) โดยเน้นการเตรียมความพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินได้ทันท่วงที และ “สำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียนบวกสาม” (อัมโร) ในการติดตามสถานการณ์เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินในภูมิภาคให้มีความมั่นคง รวมทั้ง “มาตรการตลาดพันธบัตรเอเชีย” เพื่อช่วยพัฒนาตลาดตราสารหนี้ของภูมิภาคให้แข็งแกร่ง และส่งเสริมการใช้เงินสกุลหลักของภูมิภาคในการทำธุรกรรมทางการเงินและการลงทุน
ประการที่สี่ ความร่วมมือเพื่อรับมือกับสังคมผู้สูงอายุ ไทยขอบคุณประเทศสมาชิกอาเซียนบวกสามที่ได้สนับสนุนข้อริเริ่มของไทยในการออกแถลงการณ์ผู้นำอาเซียนบวกสามเรื่อง “การสูงวัยอย่างมีศักยภาพ” (ASEAN Plus Three Statement on Active Ageing) ซึ่งเป็นการต่อยอดจากปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ว่าด้วยเรื่องผู้สูงอายุที่ผู้นำอาเซียนให้การรับรองเมื่อปี 2558 เราต้องยืนหยัดในเจตนารมณ์ร่วมกันเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้สูงอายุในภูมิภาค ส่งเสริมขีดความสามารถของอาเซียนในการรับมือกับประเด็นสังคมผู้สูงอายุ โดยใช้แนวทางแบบองค์รวม และเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนกับทุกภาคส่วนในการจัดการกับประเด็นผู้สูงอายุ
นอกจากนี้ ไทยยังส่งเสริมความร่วมมือด้านวิชาการในกรอบอาเซียนบวกสาม และเป็นประธานการประชุมเครือข่ายคลังสมองเอเชียตะวันออกในปีนี้ โดยได้ดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ภายใต้หัวข้อ “การบริหารจัดการ ความเสี่ยง” และได้จัดทำข้อเสนอแนะหมายเลข 13 (NEAT Memorandum No. 13) เพื่อให้ภาครัฐได้นำไปใช้ประโยชน์ต่อไป
ในตอนท้าย ไทยย้ำว่า ความสัมพันธ์ที่ดีในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการธำรงสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาคโดยรวม และไทยยินดีที่ความร่วมมือไตรภาคีมีพัฒนาการไปในเชิงบวก และสนับสนุนญี่ปุ่นในการเป็นประธานการประชุมสุดยอดไตรภาคีในปีนี้
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวเชิญชวน ผู้นำในกรอบอาเซียนบวกสามเข้าร่วมการประชุมสุดยอด Asia Cooperation Dialogue (ACD) ระหว่างวันที่ 9 – 10 ตุลาคม 2559 ที่กรุงเทพฯด้วย
ที่มา: http://www.thaigov.go.th