โอกาสนี้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีได้แถลงถึงผลงานของรัฐบาลด้านเศรษฐกิจ สรุปความว่า เศรษฐกิจเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะว่าเกี่ยวข้องกับคนทุกภาคส่วน รองนายกรัฐมนตรีรู้สึกว่ามีความโชคดีที่มีโอกาสมารับใช้บ้านเมืองในช่วงนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจอาจจะไม่ดีอย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจมีปัญหาต่อเนื่องมาหลายปีแล้วเดิมที่ผ่านมา GDP ของประเทศไทยก่อนที่รัฐบาลชุดนี้จะมาบริหารประเทศอยู่ใน 0.8 ปี 57 อยู่ที่ 2.8 ปี 58 อยู่ที่ 3.2 และปี 59 ในปัจจุบันอยู่ที่ 3.5 ทั้งนี้ เศรษฐกิจขยับสูงขึ้นต่อเนื่องเพราะว่าทุกฝ่ายทุกกลุ่มช่วยเหลือกันเป็นอย่างดี ธนาคารแห่งประเทศไทยได้แถลงว่า GDP ปัจจุบันอยู่ที่ 3.2 ขณะที่ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แถลงว่า GDP อยู่ที่ 3.4 -3.5 ขอย้ำว่าขณะนี้ประเทศไทยเดินมาถูกทางแล้วและจะเดินหน้าต่อไปเพื่อให้เศรษฐกิจของไทยมีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจในระดับฐานรากอาจจะไม่ดีมากนัก เพราะว่าเกษตรกรต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติทั้งฝนแล้งเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมาและมาเผชิญหน้ากับน้ำท่วมในปัจจุบัน ส่งผลให้เศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศไทยไม่หมุนเวียนเท่าที่ควร ขณะเดียวกันเศรษฐกิจของคนระดับกลางก็ยังหมุนเวียนไม่คล่องตัว เมื่อเร็ว ๆ นี้ รองนายกรัฐมนตรีได้หารือกับนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน พร้อมหาทางแก้ไขภาระหนี้สินนอกระบบโดยให้มีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อในระบบธนาคารมากยิ่งขึ้น ด้วยมาตรการต่าง ๆ รวมทั้งรัฐบาลมีโครงการกองทุนหมู่บ้านกว่า 35,000 ล้านบาท การส่งเสริมความเข้มแข็งของเศรษฐกิจในภาพรวม ด้วยการสร้างเศรษฐกิจวิถีชุมชน ส่งเสริมการท่องเที่ยวในชุมชน และตลาดท้องถิ่นพร้อมทั้ง การเชื่อมโยงเศรษฐกิจเชิงคมนาคมกระจายสู่ภูมิภาค เช่นโครงการรถไฟรางคู่ โครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการขยายสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานเปิดโครงการเมื่อวานนี้ (14 ก.ค. 59) และโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษครอบคลุมทั่วประเทศตามรอยตะเข็บชายแดน พร้อมผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางหรือ HUB ของอาเซียน
พร้อมกันนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้ขอให้ทุกภาคส่วนเชื่อมั่นในศักยภาพของรัฐบาลที่พร้อมจะขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยมาตรการต่าง ๆ ทั้งส่งเสริมการลงทุนแก่นักลงทุนต่างชาติด้วยการแก้ไขกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อการลงทุนมากขึ้น เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่ 4.0 ด้วยกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ที่เป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีทั้งในด้านอาหาร การเกษตร สุขภาพและการแพทย์ อิเล็คทรอนิคส์ ดิจิทัล พร้อมสนับสนุนให้มหาวิทยาลัยของไทยมีบทบาทในการทำวิจัยด้านนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่โดยรัฐบาลชุดนี้ยินดีให้การสนับสนุนและส่งเสริมในทุก ๆ ด้าน ทั้งนักลงทุนของไทยและชาวต่างชาติเพื่อให้เป็นนักธุรกิจยุคใหม่ที่ทันสมัย (Start up Thailand) ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการรายย่อยหรือ SMEระดับกลางซึ่งรัฐบาลก็ให้การสนับสนุนเช่นเดียวกัน เพื่อให้สามารถยืนหยัดอยู่ได้โดยมีกองทุนฟื้นฟู (Rescue Center) ของธนาคารในสังกัดภาครัฐ คอยให้คำแนะนำและสนับสนุนด้านสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เศรษฐกิจไทยมีความแข็งแกร่ง เพราะว่าโลกยุคปัจจุบันมีการแข่งขันสูงมาก ประเทศไทยต้องสร้างท่าเรือใหม่ ๆ เชื่อมโยงท่าเรือเก่าเพื่อก้าวสู่โครงการระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (EEC : Eastern Economic Corridor)
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมในตอนท้ายว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยให้เศรษฐกิจไทยอยู่รอดด้วยการเดินหน้าเศรษฐกิจไทยอย่างมีสติโปร่งใสและหลักธรรมาภิบาลโดยมีการรวมพลังช่วยกันทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และสื่อมวลชนทุกแขนงเพื่อความต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทย ให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยสัญญาว่ารัฐบาลชุดนี้ จะทำงานเพื่อประชาชนให้ดีที่สุด ไม่ทำให้ชาติบ้านเมืองเสียหาย แม้ว่าจะมีความยากลำบากในการฟันฝ่าอุปสรรคในยุคปัจจุบันมากเพียงใดก็ตาม
************************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
อภิวัฒน์ / รายงาน
ดวงใจ / ตรวจ
ที่มา: http://www.thaigov.go.th