วันนี้ (วันที่ 3 ตุลาคม 2559) เวลา 11.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานโครงการประชาคมเข้มแข็งสู่ ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ และร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง คณะกรรมส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม กับหน่วยงานของรัฐ เพื่อความร่วมมือและสร้างความเชื่อมโยงการดำเนินงานด้านการส่งเสริมภาคประชาสังคมของหน่วยงานต่างๆ ให้มีประสิทธิผลสูงสุด จัดโดย กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมกับ กองทุนสนับสนุนการส่งเสริมสุขภาพ (สสส.) ผู้ร่วมงานประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ผู้แทนองค์กรภาคประชาสังคมในประเทศไทย คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม และสื่อมวลชน ประมาณ 600 คน
พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวรายงานว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมบทบาทและสร้างความเข้มแข็งขององค์กรภาคประชาสังคม เพื่อร่วมพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน พร้อมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่มีเหตุผล และเป็นประโยชน์ต่อการฟื้นฟูประเทศ การทำงานของ คณะกรรมส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม กับหน่วยงานของรัฐ (คสป.) เป็นการรวมกลุ่มของภาคประชาสังคมที่เหมาะสม สร้างสรรค์ เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาปฏิรูปประเทศ ประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนอย่างสร้างสรรค์ เพื่อพัฒนาสังคม สุขภาพและคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการศึกษา สุขภาพ การคุ้มครองผู้บริโภค ความปลอดภัยในชีวิต แรงงาน สวัสดิการสังคม การรักษาสิ่งแวดล้อมและสมบัติส่วนรวมของประเทศชาติ การแก้ปัญหาทางสังคม
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี เป็นสักขีพยานในพิธีการลงนามความร่วมมือโครงการประชาสังคมเข้มแข็งสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ พร้อมกล่าวเปิดงานฯ ว่า โครงการประชาสังคมเข้มแข็ง สู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ มีหลายสิ่งที่ยังคงเป็นปัญหา ที่ทุกส่วนจะต้องร่วมกันแก้ไข โดยใช้แนวทางกลไกประชารัฐ ที่เริ่มจากระดับบนจนถึงระดับล่าง และนำไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จ รวมถึงการมุ่งมั่นพัฒนา ทั้งในส่วนผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย ตามกฎหมายอย่างถูกต้องเหมาะสมในการปฎิรูปประเทศให้เป็นไปอย่างมั่นคง อีกทั้งนำปัญหาต่าง ๆ มาวิเคราะห์หาแนวทางการดำเนินการอย่างต่อเนื่องตรงจุด สร้างระบบใหม่ที่สามารถเชื่อมโยงไปสู่การปฎิบัติจริง และเกิดผลสัมฤษธิ์สูงสุด และการดำเนินการจะต้องอยู่ในช่วงระยะเวลาที่กำหนด ต้องสอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยใช้งบประมาณเท่าที่จำเป็น ตลอดจนสร้างระบบจัดหาข้อมูลใหม่ ๆ และข้อมูลที่จะเกิดผลกระทบทั้งหมด โดยร่วมกันทุกภาคส่วน ที่สำคัญจะต้องสร้างการรับรู้ข้อมูลการดำเนินงานของรัฐบาลให้ประชาชนเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ และสร้างความเข้าใจว่าการ เปรียบเสมือนกับการดูแลครอบครัวตนเอง พร้อมนำเหตุผลและหลักการทั้งหมดมาใช้ให้เกิดประโยน์มากที่สุด พร้อมกล่าวว่า โครงการประชาสังคมเข้มแข็งฯ นั้น จะต้องมีการประสานงานและปฎิรูปการทำงานใหม่ทั้งระบบ และจะต้องสรุปผลการดำเนินงานที่ผ่านมา เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายอย่างชัดเจน โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สร้างเครือข่ายในทุกส่วนงาน สร้างความเข้มแข็งในทุกส่วนทั้งการศึกษา ทางเศรษฐกิจ และทางสังคม นำการดำเนินงานในอดีตมาต่อยอดเพิ่มเติม นำงบประมาณเดิมมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งการดำเนินงานทั้งหมดนี้ จะส่งผลกลับไปสู่ประชาสังคมและเกิดประโยชน์ต่อประชาชนเอง
นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำว่า ประชาชนทุกคนจะต้องมีจิตสำนึกเสียสละในปฏิบัติ รู้จักหน้าที่ มีส่วนร่วม ในการปฏิรูปประเทศเพื่อเป็นประชารัฐที่แท้จริง โดยร่วมมือกันในทุกภาคส่วน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อนำประเทศไทยก้าวไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ 4.0 นำรายได้และการสร้างงาน สร้างอาชีพ กลับมาสู่ประชาชน แต่จะต้องทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจถึงการดำเนินงานดังกล่าว เพื่อการร่วมมืออย่างเชื่อมโยงและสอดคล้องตรงตามเป้าหมายอย่างแท้จริง ทั้งนี้ รัฐบาลได้มีมาตรการรองรับการมีส่วนได้ส่วนเสียของเจ้าหน้าที่ และการได้มาซึ่งผลประโยชน์ที่ไม่เหมาะสม ซึ่งจะอยู่ในกระบวนการทางกฎหมายยุติธรรม เพื่อป้องกันปัญหาคอร์รัปชั่นที่จะเกิดขึ้นตามมา อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานทั้งหมดนี้ รัฐบาลไม่สามารถทำได้เพียงฝ่ายเดียว ประชาชนจะต้องร่วมมือกันและรู้บทบาทหน้าที่ของตนเองด้วย ที่ไม่ใช่มีหน้าที่เพียงการออกเสียงเลือกตั้งเท่านั้น แต่จะต้องรับรู้ว่าภาคประชาชนนั้น มีความสำคัญที่สุดในการดำเนินงาน ในส่วนเจ้าหน้าที่ข้าราชการนั้น มีหน้าที่เพียงเชื่อมโยงระหว่างประชาชนกับรัฐบาลอย่างสมดุล ที่สำคัญเป็นหน้าที่ของประชาชนในการร่วมกันพัฒนาประเทศให้ดีขึ้น เพื่อการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพตามหลักประชาธิปไตยสากลที่แท้จริง
สำหรับ การดำเนินงานของรัฐบาลในวันนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นการดำเนินงานเพียงระยะแรกที่จะนำไปสู่การพัฒนาที่สมบูรณ์ในอีก 20 ปีครั้งหน้า การประเมินผลการดำเนินงานสามารถทำได้เพียงช่วงระยะเวลาอันสั้น แต่รัฐบาลได้วางกรอบการดำเนินงานให้ตรงตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างตรงจุด โดยแบ่งประเภทของปัญหา และนำมาเชื่อมโยงการดำเนินการให้มีส่วนร่วมกัน อย่างมีเหตุผล และตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ ในช่วงระยะเวลาที่กำหนด เพื่อนำไปสู่การต่อยอดและสู่การพัฒนาในอีก 20 ปีข้างหน้า ให้เกิดการปฎิบัติจริง แต่การดำเนินงานเหล่านี้ จะต้องอาศัยงบประมาณเป็นจำนวนมาก โดยเป็นรายได้จากการลงทุนทั้งในและต่างประเทศเป็นหลัก และต้องไม่เกิดผลเสียต่อประเทศ ที่สำคัญประชาชนทุกคนจะต้องสร้างความน่าเชื่อถือให้กับประเทศ เพื่อดึงดูดให้นักลงทุนเข้าลงทุนให้มาก ช่วยทำให้ประเทศสามารถก้าวไปสู่ระดับนานาชาติได้ต่อไปในอนาคต
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอความร่วมมือประชาชนได้ รู้จักบทบาทหน้าที่ของตนเอง มีจิตสำนึกสาธารณะ ทำงานร่วมกันอย่างเป็นกลไกประชารัฐตามความสามารถ แม้เพียงเล็กน้อยแต่ขอให้ร่วมกันทำทุกคน เพื่อการดำเนินงานปฏิรูปประเทศที่จะเป็นไปได้อย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ในนามของรัฐบาลจึงขอความร่วมมือประชาชนทุกคน พร้อมขอให้ทุกคนภาคภูมิใจอยู่ในหลักของความพอเพียง ไม่ปล่อยปละละเลยหน้าที่ ร่วมมือกันลดความขัดแย้ง สร้างความปรองดอง และสร้างความเชื่อมโยงในการทำงานกันอย่างเป็นประชารัฐในทุกภูมิภาค เพื่อนำประเทศไทยไปสู่ประเทศอุตสาหกรรมใหม่ 4.0 อย่างมั่นคง และยั่งยืน ต่อไป
--------------------------------------------
สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th