วันนี้ ( 25 ต.ค.59) เวลา 13.45 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พันเอกหญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องที่นายกรัฐมนตรีสั่งการต่อที่ประชุมว่า ให้รัฐบาลเตรียมการให้พร้อมในการดูแลอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่จะเดินทางมาถวายสักการะพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ภายหลักจากการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลครบ 15 วัน ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2559 เป็นต้นไป เวลา 08.00 – 21.00 น. ทุกวัน ( ยกเว้นช่วงมีพระราชพิธีบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท) พร้อมกล่าวขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ช่วยกันดูแลประชาชนตลอดมา รวมถึงหน่วยแพทย์และจิตอาสากลุ่มต่าง ๆ ที่มาเข้าดูแลช่วยเหลือประชาชนในด้านต่าง ๆ ทั้งเรื่องอาหารและน้ำดื่มด้วย
นอกจากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการที่ประชุมเพิ่มเติมเกี่ยวกับการให้บริการห้องสุขาแก่ประชาชนให้เป็นไปอย่างเพียงพอกับความต้องการของประชาชนที่เดินทางมาถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและร่วมพระราชพิธีฯ ในบริเวณท้องสนามหลวง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้ประสานกับบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (เอสซีจี) ซึ่งทางเอสซีจี พร้อมให้การสนับสนุนดำเนินการในเรื่องห้องสุขาน็อคดาวน์สำหรับบริการประชาชน โดยคาดว่าในวันที่ 29 ตุลาคม 2559 จะมีห้องสุขาชั่วคราวไว้บริการประชาชนเพิ่มเติมมากขึ้น และในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2559 เอสซีจี จะดำเนินการจัดทำห้องสุขาน็อคดาวน์เพิ่มอีก 1 ยูนิต แยกเป็นห้องสุขาชายและหญิง
อีกทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำถึงการจัดทำพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2561 ตามยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งได้แบ่งกลุ่มแผนงาน 28 กลุ่มงาน โดยเพิ่มกลุ่มงานไทยแลนด์ 4.0 กลุ่มงานเกษตร และกลุ่มงาน EEC ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มงานที่เพิ่มขึ้นนั้น นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า ไม่ใช่ประเทศไทยจะก้าวไปสู่ยุคดิจิทัลแล้วจะไม่ดูแลประชาชนที่เป็นรากฐานของประเทศ ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดถือเป็นการเสริมฐานรากของประเทศให้แข็งแกร่งขึ้น ทั้งนี้ การจัดทำงบประมาณรูปแบบใหม่ดังกล่าว รองนายกรัฐมนตรีทั้ง 6 คน จะเป็นผู้กำกับดูแลงานในสายงานของตนเอง ซึ่งในส่วนของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะเป็นหัวหน้าคณะดูแลและกลั่นกรองงานด้านงบประมาณก่อนเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจราจรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลแก้ไขปัญหาการจราจร ได้รายงานว่า ที่ผ่านมาคณะทำงานได้ดำเนินการปรับปรุงพื้นผิวจราจรและการจอดรถ ตลอดจนการบังคับใช้กฎหมายเพิ่มขึ้น รวมทั้งได้ขอความร่วมมือประชาชนกรณีที่เกิดข้อพิพาทด้านการจราจรให้ดำเนินการด้วยความรวดเร็ว รวมถึงกรณีที่ได้รับใบสั่งค่าปรับจราจรโดยไม่ต้องใช้เวลาในการเจรจาตกลงกันเรื่องค่าปรับบนท้องถนนนานจนเกินไป เนื่องจากสามารถตรวจสอบผ่านกล้อง CCTV และประชาชนสามารถจ่ายค่าปรับจราจรผ่านทางออนไลน์ได้ ซึ่งจะทำให้สามารถบรรเทาและลดปัญหาการจราจรบนท้องถนนและรถสามารถสัญจรไปมาได้สะดวกคล่องตัวมากขึ้น
ทั้งนี้ จากการดำเนินการแก้ไขปัญหาการจราจรดังกล่าว สามารถทำให้ประชาชนลดเวลาในการเดินทางในช่วงเวลากลางวันได้ 39 นาที ขณะที่ช่วงเย็นและค่ำสามารถลดเวลาการเดินทางได้ถึง 1 ชั่วโมง 9 นาที จากที่เคยใช้เวลาอยู่ในท้องถนนนานขึ้น
-------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th