รอง นรม.พลเอก ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ครั้งที่ 12/2559

ข่าวทั่วไป Wednesday November 2, 2016 17:02 —สำนักโฆษก

วันนี้ (2 พฤศจิกายน 2559) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ครั้งที่ 12/2559

หลังจากเลิกประชุมฯ เวลาประมาณ 12.00 น. พลตรี คงชีพ ตันตระวานิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พันเอกหญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกระทรวงกลาโหม และ ร้อยตรีหญิง พรชนก อ่ำพันธุ์ ผู้ช่วยโฆษกกระทรวงกลาโหม ได้ร่วมกันแถลงผลการประชุมฯ ซึ่งสรุปสาระสำคัญ ดังนี้

รัฐบาลปัจจุบันมีเป้าหมายสำคัญในการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินในระยะเร่งด่วนโดยมุ่งหวังที่จะสร้างเสริมความเป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้ำในสังคม อีกทั้งให้มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในหมู่ประชาชนอย่างทั่วถึงทั้งและมีความยั่งยืนโดยการยึดหลักการมีส่วนร่วมของประชาชนให้เกิดการเรียนรู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้ซึ่งเป็นการรับสนองพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในประเด็นความพอเพียง เข้าถึง เข้าใจ และร่วมกัน พัฒนาประเทศ ทั้งนี้สภาความมั่นคงแห่งชาติในฐานะผู้รับผิดชอบหลักได้ดำเนินการจัดทำฐานข้อมูลด้านความมั่นคง โดยการรวบรวมความครบถ้วนและความสมบูรณ์ของบัญชีข้อมูลด้านความมั่นคงของประเทศระบบการเชื่อมโยงฐานข้อมูลและกำหนดโครงสร้างการทดลองเชื่อมโยงฐานข้อมูลด้านความมั่นคงด้วย การเน้นย้ำให้ทุกส่วนราชการ ได้ตระหนักความสำคัญในการกำหนดกลไกที่เหมาะสมเพื่อบริหารจัดการฐานข้อมูลด้านความมั่นคง ขณะเดียวกันกระทรวงกลาโหมมีความคืบหน้าในการปฏิรูปเช่นกันซึ่งเป็นไปตามแผนดำเนินการ เพื่อรองรับการปฏิรูปโครงสร้างและระบบการบริหารจัดการด้วยการจัดทำแผนแม่บทการปฏิรูปดังกล่าวพร้อมจัดทำแผนพัฒนาขีดความสามารถของกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2560 - 2569 และเสริมสร้างความมั่นคงทางไซเบอร์รวมทั้งการพัฒนาระบบเฝ้าระวังข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์อีกด้วย

สำหรับด้านการปฏิรูปภาคการเกษตรนั้นได้กำหนดยุทธศาสตร์การปฏิรูปปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบในระยะ 20 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2560 - 2579 ด้วยหลักการสำคัญ 6 ประเด็น ได้แก่ ด้านการผลิตด้านนวัตกรรม ด้านมาตรฐานปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ด้านพลังงาน ด้านการตลาด และด้านการบริหารจัดการ โดยสร้างความเข้มแข็งให้แก่ จังหวัดที่มีการผลิตน้ำมันปาล์ม ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี กระบี่ ชุมพร นครศรีธรรมราช และครอบคลุมจังหวัดอื่น ๆ ที่ผลิตน้ำมันปาล์มภายในปี 2563 - 2564 โดยเฉพาะอย่างยิ่งพัฒนาอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีคอล ขั้นต้นและขั้นสูง ภายในปี 2561 - 2579 ซึ่งจะเป็นการพัฒนาพลังงานทดแทนของประเทศให้เข้มแข็งมากขึ้นพร้อมทั้งมีการผลักดันพระราชบัญญัติปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มให้มี

ผลบังคับใช้ภายในปี 2560 ซึ่งส่งผลให้การปฏิรูปดังกล่าวทำให้เกษตรกรมีรายได้และคุณภาพชีวิตดีขึ้น

นอกจากนี้การแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานผิดกฎหมายรัฐบาลได้ดำเนินการให้เกิดความถูกต้องตามกฏหมายสากลโดยการแก้ไขพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 จำนวนทั้งสิ้น 127 มาตรา พร้อมเร่งรัดแก้ไขพระราชบัญญัติแรงงานวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 เพื่อนำสู่กระบวนการให้สัตยาบันอนุสัญญาฉบับที่เก้า 98 ต่อไป ตลอดจนผลักดันเพิ่มพนักงานตรวจแรงงานให้มีจำนวนมากขึ้นกว่า 255 คน เพราะว่า ตามหลักมาตรฐานสากล อัตราส่วนพนักงานฯ 1 คน ต่อแรงงาน 15,000 คน ทั้งนี้เพื่อให้การปฏิบัติงานกำกับดูแลแรงงานของไทยมีความน่าเชื่อถือและทัดเทียมนานาชาติมากขึ้น

พร้อมกันนี้ได้รับทราบการดำเนินการ ตรวจสอบและประเมินผลเพื่อออกไปรับรองการเดินอากาศใหม่ซึ่งมีความก้าวหน้ามากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน Phase 3 Documentation ได้เริ่มดำเนินการแล้วใน 3 สายการบิน ได้แก่ การบินไทย บางกอกแอร์เวย์ และไทยแอร์เอเชีย คาดว่าทั้ง 3 สายการบินดังกล่าวจากผ่านกระบวนการใน Phase ดังกล่าว ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2559 อีกทั้ง สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยยังได้รับความร่วมมือจากสำนักงานการบินพลเรือนของประเทศฝรั่งเศสมาช่วยดูแลในขั้นตอนรายละเอียดซึ่งจะทำให้การตรวจสอบและประเมินผลเพื่อออกใบรับรองฯ ให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการที่วางไว้

สำหรับการจัดระเบียบรถตู้สาธารณะอย่างยั่งยืนเพื่อเป็นการสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้แก่ประชาชนที่เดินทางไปกลับระหว่างกรุงเทพฯ กับ จังหวัดต่าง ๆ ที่อยู่ไม่ห่างไกลจากกรุงเทพฯ นั้น ได้มีการกำหนดรูปแบบการหมุนเวียนของรถตู้เข้าออกสถานีหลักทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ สถานีขนส่งหมอชิต สถานีขนส่งเอกมัย และสถานีขนส่งสายใต้ (ปิ่นเกล้า) ให้ประชาชนได้รับความสะดวกและเพียงพอต่อการใช้บริการด้วยการใช้รถโดยสาร ขสมก. รับส่งฟรีจากอนุสาวรีย์ไปยังทั้ง 3 สถานีขนส่งดังกล่าว โดยได้เริ่มทดลองเดินรถตามแผนฯ ดังกล่าวตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายน 2559 และมีการติดตามผลอย่างใกล้ชิดเพื่อส่งผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด (ใช่บริการประมาณ 1.7 แสนคนต่อวัน) ซึ่งจะเป็นการยกระดับมาตรฐานการใช้รถโดยสารสาธารณะให้มีมาตรฐานและเกิดความปลอดภัยสูงภายใต้การกำกับดูแลการให้บริการจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง แก้ปัญหาผู้มีอิทธิพล และช่วยลดการจราจรที่แออัดภายในพื้นที่เขตใจกลางกรุงเทพฯ ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น

ตอนท้ายของการแถลงข่าวฯ ได้เน้นย้ำถึงเจตนารมณ์อย่างแน่วแน่ของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของประเทศให้มีความยั่งยืนจึงขอความร่วมมือผู้แทนสื่อมวลชนทุกแขนง ให้ไปประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องของรัฐบาลเพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจนำไปสู่การสร้างพลังที่เข้มแข็งของทุกภาคส่วนเพื่อขับเคลื่อนและปฏิรูปประเทศให้มีความก้าวหน้าเพื่อความสุขอย่างยั่งยืนของประชาชนต่อไป

*************************************

กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ