วันนี้ (3 ก.พ.60) เวลา 08.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานจริงของศูนย์เมขลา กรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เขตพญาไท กรุงเทพฯ พร้อมมอบนโยบายแก่ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเยี่ยมชมนิทรรศการของกรมทรัพยากรน้ำบริเวณชั้นล่าง โดยมี พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายวิจารย์ สิมาฉายา ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายวรศาสน์ อภัยพงษ์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกรมทรัพยากรน้ำให้การต้อนรับ
สำหรับศูนย์เมขลา จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2546 มีภารกิจเพื่อติดตาม รวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลทรัพยากรน้ำ พัฒนาระบบสารสนเทศทรัพยากรน้ำ คาดการสถานการณ์น้ำเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ เสนอแนะแนวทางแก้ไขวิกฤติน้ำให้กับผู้บริหาร รวมถึงรายงานสถานการณ์น้ำประจำวัน ให้แก่ผู้บริหาร หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องและภาคประชาชน ตลอดจนเสริมสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับข้อมูลการเตือนภัยให้แก่ประชาชน
ทั้งนี้ จากมติคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2559 “เห็นชอบในหลักการให้กรมทรัพยากรน้ำเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลน้ำแห่งชาติ เพื่อให้มีศูนย์กลางในการรวบรวมข้อมูลด้านทรัพยากรน้ำที่เป็นเอกภาพ และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมถึงทุกหน่วยงานสามารถนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว” กรมทรัพยากรน้ำ จึงมีแผนพัฒนาศูนย์เมขลาเป็นศูนย์ข้อมูลน้ำแห่งชาติโดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบการเฝ้าระวังและเตือนภัยที่เกิดจากน้ำ และรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยจะพัฒนาระบบแผนที่ GIS ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารและสนับสนุนการตัดสินใจ ที่สำคัญคือการขับเคลื่อนไปสู่ Thailand 4.0 โดยพัฒนาระบบเชื่อมโยงเครือข่ายข้อมูลของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เป็นเอกภาพ ประชาชนและหน่วยงานต่าง ๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลได้สะดวก และรัฐบาลสามารถมีทางเลือกในการตัดสิน สั่งการแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที ซึ่งจากทรัพยากรที่ศูนย์เมขลามีอยู่ในปัจจุบันสามารถพัฒนาเป็นศูนย์ข้อมูลน้ำแห่งชาติได้ทันที โดยเชื่อมโยงข้อมูลจาก 35 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีแบบจำลองของลุ่มน้ำยมภายในเดือนมิถุนายน 2560 และมีการปรับปรุงโครงสร้างและระบบในส่วนต่างๆ และขยายผลให้มีแบบจำลองสนับสนุนการตัดสินใจครบทั้ง 25 ลุ่มน้ำ ภายในพฤษภาคม 2561 เพื่อให้มีข้อมูลและระบบตัดสินใจที่เป็นเอกภาพสำหรับการจัดการน้ำของประเทศครอบคลุมทุกมิติ ได้แก่ น้ำท่วม จัดสรรน้ำ ติดตามคุณภาพน้ำ ภัยพิบัติ และพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชน เป็นต้น
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า มีความตั้งใจที่จะมาตรวจเยี่ยมศูนย์เมขลานานแล้ว เพราะการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบของประเทศเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ เพื่อให้สามารถมีน้ำไว้ใช้ได้อย่างเพียงพอกับความต้องการของคนในประเทศ ทั้งน้ำอุปโภคบริโภค การเกษตร อุตสาหกรรม และการรักษาระบบนิเวศ ซึ่งขณะนี้มีความจำเป็นต้องปรับปรุงวิธีการบริหารจัดการน้ำใหม่ทั้งระบบให้ครอบคลุมทั้ง 25 ลุ่มน้ำ รวมถึงในเขตชลประทานและนอกเขตชลประทาน ทั้งนี้ ศูนย์เมขลาซึ่งรัฐบาลปัจจุบันได้มีการอนุมัติให้ปรับปรุงใหม่ขึ้นจะเป็นศูนย์รวบรวมข้อมูลน้ำทั้งหมดที่มีความทันสมัยและเป็นเอกภาพ เพื่อให้ทุกหน่วยงานสามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติงานทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างทันท่วงที ซึ่งรัฐบาลพร้อมสนับสนุนให้ศูนย์เมขลาเป็นศูนย์ข้อมูลน้ำแห่งชาติ โดยมีการเชื่อมโยงข้อมูลและการทำงานกับศูนย์อื่น ๆ ที่มีอยู่แล้วของกระทรวงต่าง ๆ เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฯลฯ เพื่อให้การทำงานของทุกหน่วยงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันและไม่เกิดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติ โดยต้องมีการพิจารณาบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบตั้งแต่การบริหารจัดการต้นน้ำ การกักเก็บน้ำ ระบบการส่งน้ำและการกระจายน้ำไปสู่พื้นที่ต่าง ๆ ตลอดจนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้งอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน โดยปัจจุบันรัฐบาลได้มีการวางแผนการบริหารจัดการของประเทศทั้งระบบในระยะยาว 20 ปี ซึ่งขณะนี้แผนบริหารจัดการน้ำดังกล่าวได้ดำเนินการไปแล้วประมาณ 2 ปีกว่า เริ่มตั้งแต่ปี 2558 สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อวางอนาคตประเทศในเรื่องของน้ำ เพราะน้ำคือชีวิต ทุกคนจึงต้องเห็นคุณค่าน้ำทุกหยด เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำโดยเฉพาะการเก็บกักน้ำที่มีอยู่ไว้ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและคุ้มค่าอย่างแท้จริง
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า การดำเนินงานของศูนย์เมขลา กรมทรัพยากรน้ำ ได้ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 ซึ่งรัฐบาลเห็นถึงความตั้งใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน สิ่งสำคัญคือต้องหาแนวทางบูรณาการข้อมูลน้ำที่แต่ละหน่วยงานมีอยู่ทั้งในส่วนของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนให้เป็นข้อมูลเดียวกันและมีความเป็นเอกภาพ สามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้ใช้น้ำทั้งหมดให้ได้ ขณะเดียวกันปัจจุบันรัฐบาลมีแผนพัฒนาการประเทศในลักษณะเป็นภูมิภาคหลัก 6 ภาค ประกอบด้วย ภาคใต้และสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันตก และภาคตะวันออกโดยเฉพาะรัฐบาลมีการเร่งรัดขับเคลื่อนในส่วนของการดำเนินโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor Development หรือ EEC) ซึ่งการบริหารจัดการน้ำจะต้องสอดคล้องกับแผนพัฒนาประเทศดังกล่าวด้วย รวมถึงการพิจารณาวางแผนในเรื่องการปลูกพืชให้เหมาะสมกับปริมาณน้ำและสอดคล้องกับพื้นที่ ตลอดจนการนำการวิจัยพัฒนาและดิจิทัลเข้ามาใช้ในการดำเนินการต่าง ๆ ในเรื่องการตลาด เพื่อให้การดำเนินการครอบคลุมทุกมิติทั้งระบบครบวงจร พร้อมทั้ง ขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการสร้างการรับรู้และชี้แจงกับสาธารณชนและสังคม เพื่อจะได้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องพร้อมให้ความร่วมมือในการที่จะร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินการต่าง ๆ ไปสู่เป้าหมายที่กำหนด โดยเฉพาะในเรื่องการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ การเก็บกักน้ำ การป้องกันแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำและอุทกภัย เพื่อนำไปสู่การบริหารจัดการน้ำของประเทศอย่างเป็นระบบครบทุกมิติ ประชาชนได้รับประโยชน์ทั่วถึงทุกภาคส่วน อันจะทำให้ไม่เกิดความขัดแย้งซึ่งกันและกัน ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม เป็นธรรมและเท่าเทียมกันอย่างแท้จริงตามยุทธศาสตร์ชาติ
นอกจากนี้ การบริหารจัดการน้ำต้องสอดคล้องกับการใช้ที่ดินและการจัดทำผังเมือง การประกอบธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งอุตสาหกรรมขนาดเล็กระดับชุมชน ขนาดกลาง ขนาดย่อม ขนาดใหญ่ รวมถึงอุตสาหกรรมข้ามชาติ พร้อมทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนของกรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ร่วมกันทำงานจนมีความก้าวหน้าอยู่ในระดับที่น่าพอใจระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตามขอให้มีการพัฒนาการดำเนินการไปสู่ระดับที่น่าพึงพอใจสูงขึ้นไปอีก โดยมีแผนการปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำที่ชัดเจนสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ตามที่รัฐบาลได้กำหนดไว้
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานจริงของศูนย์เมขลา พร้อมพบปะทักทายสอบถามให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้วย ก่อนเดินทางกลับ
--------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th