ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และคุณเจน นำชัยศิริ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้ร่วมแถลงผลการประชุมสรุปดังนี้
ที่ประชุมฯ ได้มีการพิจารณาหารือการเตรียมความพร้อมด้านกำลังคนเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายและ Thailand 4.0 โดยได้เตรียมการในการดำเนินการดึงดูดทรัพยากรบุคคลที่มีทักษะฝีมือสูง (Talents) จากต่างประเทศ เช่น การอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน โดยได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดรูปแบบการทำงานเพื่อกำหนดระยะเวลาการให้วีซ่าและใบอนุญาตทำงานสำหรับกลุ่มประเภท EX ให้มีระยะเวลาที่สอดคล้องกัน การกำหนดนิยามและการตีความคำว่า “การทำงาน” การพัฒนาระบบการแจ้งอยู่ในราชอาณาจักรทุก 90 วัน ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งให้ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) เป็นหน่วยงานกลางในการจัดตั้งหน่วยงานภายในขึ้นมารับผิดชอบการดำเนินงานเรื่องการดึงดูด Talents จากต่างประเทศโดยดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยให้ศึกษารูปแบบการดำเนินงานและเครื่องมือในการดึงดูด Talents ของประเทศต่าง ๆ เพื่อนำมาปรับใช้ให้เหมาะกับการดำเนินการดังกล่าวของประเทศต่อไป
พร้อมทั้ง ที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบให้บีโอไอออกมาตรการพัฒนาขีดความสามารถด้านเทคโนโลยี (Technology-based Incentives) เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวไปสู่ “ประเทศไทย 4.0” และส่งเสริมให้เกิดการลงทุนใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ประกอบด้วยมาตรการย่อย คือ 1. การส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมาย (Core Technologies) ซึ่งจะมีการพิจารณาให้สิทธิประโยชน์เป็นพิเศษกับการลงทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมายที่ประเทศไทยมีศักยภาพ โดยมีเงื่อนไขเรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยีร่วมกับสถาบันการศึกษาหรือสถาบันวิจัย
ทั้งนี้ การลงทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมายแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมาย (Targeted Core Technologies) 4 กลุ่ม คือ ไบโอเทคโนโลยี, นาโนเทคโนโลยี, Advanced Materials Technology (เทคโนโลยีการผลิตวัสดุขั้นสูง) และ ดิจิทัล เทคโนโลยี 2) กลุ่มบริการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมาย (Enabling Services) ซึ่งหมายถึงกิจการบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงที่จะช่วยสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมาย ได้แก่ การวิจัยพัฒนา สถานฝึกฝนวิชาชีพ (เฉพาะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) การออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์ บริการออกแบบทางวิศวกรรม บริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ และบริการสอบเทียบมาตรฐาน โดยกิจการใน 2 กลุ่มดังกล่าวจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 10 ปี และสามารถขอรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมตามคุณค่าของโครงการได้อีก 1-3 ปี รวมแล้วสูงสุดไม่เกิน 13 ปี
2. การยกเว้นอากรนำเข้าเพื่อนำมาใช้ในการวิจัยและพัฒนา เช่น วัสดุต้นแบบ สารเคมี พืชหรือสัตว์ เป็นต้น
3. ปรับเกณฑ์การให้สิทธิประโยชน์ตามคุณค่าของโครงการ (Merit-based incentives) สำหรับกิจการผลิตทั่วไปที่ได้สิทธิตามหลักเกณฑ์ปกติ ถ้าลงทุนเพิ่มด้านพัฒนาเทคโนโลยีหรือพัฒนาบุคลากร จะให้เพิ่มค่าใช้จ่ายดังกล่าวเพื่อนำมารวมเป็นมูลค่าภาษีที่ได้ยกเว้น จากเดิม 100% เป็น 200% และหากเป็นค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยพัฒนาให้เพิ่มเป็น 300%
อีกทั้งที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบให้บีโอไอออกมาตรการช่วยเหลือกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนและได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ โดยให้ได้รับการยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรที่นำเข้ามาทดแทนเครื่องจักรที่เสียหายจากอุทกภัย ทั้งเครื่องจักรใหม่หรือใช้แล้วจากต่างประเทศ ซึ่งมีอายุไม่เกิน 10 ปี นับแต่ปีที่ผลิตถึงปีที่นำเข้า โดยต้องยื่นขอสิทธินำเข้าเครื่องจักรภายในวันที่ 29 ธันวาคม 2560
สำหรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายใน EEC (ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง) เน้นส่งเสริมกิจการที่จะยกระดับพื้นที่ EEC ได้แก่ อุตสาหกรรมเป้าหมายที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง กิจการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน และโลจิสติกส์ กิจการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว กิจการวิจัยและพัฒนา และบริการสนับสนุนด้านเทคโนโลยี โดยเพิ่มสิทธิลดหย่อน CIT 50% อีก 5 ปี สำหรับกิจการในกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล (กลุ่มA) โดยกำหนดให้จังหวัดใน EEC เป็นเขตส่งเสริมการลงทุนและต้องยื่นคำขอรับการส่งเสริมภายในปี 2560
นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบให้การส่งเสริมการลงทุนรวม 4 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุน 25,297 ล้านบาท ประกอบด้วย
1) บริษัท คอนติเนนทอล ไทร์ส ( ประเทศไทย ) จำกัด ได้รับการส่งเสริมขยายกิจการผลิตยางเรเดียล (RADIAL TIRE) เงินลงทุนทั้งสิ้น 12,384 ล้านบาท โครงการนี้ช่วยส่งเสริมการใช้วัตถุดิบยางในประเทศ และมีความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย ตามนโยบายส่งเสริมการลงทุนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในรูปแบบคลัสเตอร์ ตั้งโครงการที่ จังหวัดระยอง
2) บริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด ได้รับการส่งเสริมขยายกิจการขนส่งทางท่อ เงินลงทุนทั้งสิ้น 8,000 ล้านบาท โครงการนี้จะให้บริการขนส่งน้ำมันทางท่อประมาณ 9,000 ล้านลิตรต่อปี เพื่อรองรับการขยายตัวสำหรับการขนส่งน้ำมันทางท่อ ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งน้ำมันของประเทศ ซึ่งแนวท่อจะผ่านพื้นที่ 10 จังหวัดจากภาคกลางไปยังภาคเหนือ
3) บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) จำกัด ได้รับการส่งเสริมขยายกิจการผลิตเชื้อเพลิงจากกากอุตสาหกรรม (Refuse Derived Fuel) เงินลงทุนทั้งสิ้น 312.5 ล้านบาท กำลังการผลิตประมาณ 108,000 ตันต่อปี ตั้งโครงการที่ จังหวัดสระบุรี
4) มูลนิธิหอชมเมืองกรุงเทพมหานคร ได้รับการส่งเสริมกิจการศูนย์แสดงศิลปวัฒนธรรม (หอชมเมือง) เงินลงทุนทั้งสิ้น 4,600.5 ล้านบาท โครงการนี้ จะเป็นหอชมเมืองความสูงประมาณ 459 เมตร มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 22,056 ตารางเมตร ตั้งอยู่บนพื้นที่ราชพัสดุริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีวัตถุประสงค์ในการรวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และจะเป็นถาวรวัตถุซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของกรุงเทพมหานคร
รวมทั้ง บีโอไอเตรียมจัดกิจกรรมเพื่อพลิกโฉมประเทศสู่ “Thailand 4.0” ในวันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2560 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีกิจกรรมภายในงานที่น่าสนใจ อาทิ งานสัมมนา Opportunity Thailand สัมมนาย่อยรายอุตสาหกรรม New S-Curve กิจกรรมแสดงศักยภาพผู้ประกอบการไทยอุตสาหกรรม New S-Curve ตลอดจน Business Matching ซึ่งคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 3,000 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารคนไทย ผู้แทนสถานทูต หอการค้าต่างประเทศ ผู้บริหารต่างชาติ สื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศ ขณะเดียวกันในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2560 จะมีการประชุม Honorary Investment Advisors (HIA) ครั้งที่ 2 โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมจากทั่วโลก ซึ่งเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านการลงทุน (HIA) ที่เป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทข้ามชาติที่มีการลงทุนแล้วในประเทศไทย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับทิศทางการปฏิรูปประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเน้นย้ำในที่ประชุมโดยเฉพาะบีโอไอและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ต่อจากนี้ไปการบริหารการขับเคลื่อนประเทศและยุทธศาสตร์ปฏิรูประเทศจะต้องดูในเรื่องของมิติพื้นที่ทั้ง 6 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ (ภาคใต้ตอนบนและจังหวัดชายแดนภาคใต้รวมทั้ง จ.สตูลและจ.สงขลา) ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ซึ่งยุทธศาสตร์ของ 6 ภูมิภาคจะต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของกระทรวง และสอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อเตรียมความพร้อมของประเทศในทุกด้านรองรับการเข้าสู่ Thailand 4.0 ตามเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนด
-----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th