วันนี้ (11 มกราคม 2560) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบโอวาทเด็กและเยาวชนดีเด่นที่นำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติ จำนวน 779 คน มีผู้ร่วมงานประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นักเรียน นักศึกษา ตัวแทนเด็กและเยาวชน และผู้ที่เกี่ยวข้อง
นายธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวรายงานว่า รัฐบาลได้ตระหนักแล้วได้ให้ความสำคัญแก่เด็กและเยาวชนมาโดยตลอด ทั้งนี้เพื่อเด็กและเยาวชน ยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โโยมุ่งหวังให้เด็ก้ป็นผู้มีความกตัญญูรู้คุณต่อผู้มีพระคุณ และต่อประเทศชาติ รู้รักสามัคคี รักประเทศชาติ ประพฤติและปฏิบัติตนอยู่ในระเบียบวินัยอันดี มีความรู้ ความสามารถ ควบคู่คุณธรรม และร่วมตะหนักถึงความร่วมมือเพื่อช่วยเหลือสังคม และประเทศชาติ ตามคำขวัญวันเด็กประจำปี 2560 “เด็กไทย ใส่ใจศึกษา พาชาติมั่นคง”
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวมอบนโยบายในตอนหนึ่งว่า รู้สึกยินดีและขอชื่นชมเด็กเยาวชนดีเด่นที่สามารถนำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติ รัฐบาลและทรวงศึกษาธิการ ได้ให้ความสำคัญกับเด็กและเยาวชนที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติในอนาคตมาโดยตลอด รัฐบาลได้เดินหน้าปฏิรูปทางการศึกษาต่อเนื่อง พร้อมทั้งเป็นสะพานเชื่อมสร้างเส้นทางเชื่อมให้เด็กและเยาวชนไทยเดินหน้าไปในอนาคต แต่อย่างไรก็ตาม เด็กและเยาวชนก็จะต้องตั้งเป้าหมายในอนาคตด้วยตัวเอง และจะต้องมุ่งมั่นไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ให้ได้ ทั้งนี้ เด็กและเยาวชนจะต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจจากสภาวะภายนอก และความต้องการของวิชาอาชีพในตลาดสากลด้วยว่า อีก 5 ถึง 20 ปีข้างหน้า อาชีพอะไรจะที่จำเป็นที่ต้องการในอนาคต ควบคู่ไปกับการพัฒนาประเทศไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 พัฒนาประเทศด้วย อุตสาหกรรมและนวัตกรรมใหม่ ๆ
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า เด็กและเยาวชน จะเป็นกำลังสำคัญที่จะเติมเต็มการพัฒนาไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของเด็กและเยาวชน ที่จะต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจอย่างถูกต้อง เช่น การนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน นำสิ่งเหล่านั้นมาพัฒนาตัวเองและครอบครัว ควบคู่ไปกับการนำไปใช้ในระบบการศึกษาอย่างถูกต้อง อีกทั้ง ศึกษาหาความรู้ทางด้านการเกษตรกรรม ตัวอย่างการนำสมุนไพรไทยเข้ามาพัฒนาต่อยอดให้เกิดประโยชน์และใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน ซึ่งในวันข้างหน้าสมุนไพรไทย จัดเป็นเวชภัณฑ์สำหรับยาสามัญประจำบ้านให้กับทุกครอบครัว ที่สำคัญ สมุนไพรไทยจะช่วยส่งเสริมและสสนับสนุนให้เกษตรกรไทยเกิดรายได้จากการทำการเกษตรอย่างยั่งยืน อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนภาระค่าใช้จ่ายด้านเวชภัณฑ์ของคนไทย และจะช่วยทดแทนการซื้อยาราคาสูงจากต่างประเทศมารักษาโรคภัยไข้เจ็บได้อีกด้วย ทั้งนี้เพื่อเป็นการเริ่มต้นสร้างการรับรู้ให้กับนักเรียนนักศึกษา รัฐบาลได้ฝากขอความร่วมมือกับโรงเรียนทุกโรงเรียนทั่วทุกประเทศนำยาสมุนไพรเข้ามาใช้ปฐมพยาบาลทั่วทั้งประเทศอีกด้วย
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า ระบบการศึกษาของประเทศไทยนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะนำเด็กนักเรียนและเยาวชนไปสู่เป้าหมายของตัวเองในชีวิต ซึ่งที่ผ่านมานั้น การศึกษาในประเทศไทย ก็ถือว่าอยู่ในพื้นฐานที่ดี แต่เพื่อการพัฒนาเด็กนักเรียนไทยให้เท่าทันสากลโลก จะต้องมีการปรับปรุงและส่งเสริมการเรียนรู้นอกจากการเรียนการสอนภายในห้องเรียน โดยการนำความรู้จากภายนอกห้องเรียนมาใช้ พร้อมกันกับการสอนให้นักเรียนเรียนรู้จากประสบการณ์จริง สอนควบคู่ไปกับการศึกษาไทย เพื่อให้นักเรียนได้รู้จักการนำมาประยุกต์ให้เกิดประโยชน์และสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง เช่น วิชาการทางด้านภาษาต่างประเทศ นักเรียนนักศึกษามีความรู้จากในตำราหนังสือ สามารถใช้ในการสอบแข่งขันได้ แต่ไม่สามารถใช้ในการสื่อสารกับชาวต่างชาติได้ เนื่องการขาดความมั่นใจ ซึ่งแตกต่างกับ วิชาการทางด้านเทคโนโลยี นักเรียนและนักศึกษาไทยสามารถใช้ได้อย่างคล่องแคล่วและว่องไว นี่การเรียนรู้อย่างรวดเร็วจนบางครั้งอาจจะนำไปสู่การใช้งานในทางที่ผิด แต่เมื่อนำมาใช้ในด้านทางวิชาการ และการประกอบอาชีพที่สร้างรายได้ ก็ไม่อาจจะนำมาใช้งานได้อย่างแท้จริง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นหน้าที่ของประชาชนทุกคน ครูอาจารย์ บุคลากรทางการศึกษา พ่อแม่ผู้ปกครอง เด็กนักเรียนและเยาวชนไทยทุกคน จะต้องร่วมมือสร้างกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันให้เข้าใจอย่างถูกต้อง ปฏิรูปการศึกษาให้เชื่อมโยงไปสู่การสอนโดยใช้ประสบการณ์จริง ปรับให้เข้ากับระบบการศึกษาไทยแต่เดิม เพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนให้เกิดความเข้มแข็งในสังคมได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมด้านการศึกษาให้กับเด็กและเยาวชนไทย และสนับสนุนลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ปกครองสำหรับการจ่ายค่าเรียนพิเศษเพิ่มเติมให้แก่บุตร รัฐบาลได้สั่งการให้ กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการรวบรวมตำราความรู้นอกเหนือจากเดิม เพิ่มเติมจากสถาบันสอนพิเศษที่มาตรฐานและมีผลงานด้านการสอนพิเศษที่เป็นที่ยอมรับ รวบรวมทั้งหมดเลยกำลัและนำมาบังคับใช้ในระบบการศึกษาไทยที่ได้กำหนดไว้ ให้ดำเนินการร่วมกันอย่างเป็นประชารัฐ ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน และที่สำคัญจะต้องดำเนินการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีการศึกษาให้แล้วเสร็จให้ให้ได้ภายใน 1 ปี
ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งมั่นดำเนินการพัฒนาประเทศมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการส่งเสริมเยาวชนไทยให้มีความเข้มแข็ง สามารถคิดอย่างเป็นกระบวนการและเป็นขั้นตอนอย่างเป็นลำดับ สามารถคิดริเริ่มในสิ่งใหม่ ๆ ตั้งแต่แผนงานการดำเนินการ ไปสู่การปฏิบัติ จนกระทั่งเกิดผลสำเร็จ โดยมุ่งหวังให้นักเรียนและเยาวชนไทย เป็นตัวกลางสำคัญในการเชื่อมโยงการเรียนรู้ให้กับพ่อแม่และผู้ปกครอง ถึงแนวทางการพัฒนาประเทศไทยด้วยนวัตกรรมใหม่ ไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ทั้งยังมุ่งหวังให้เกิดการสร้างความสัมพันธ์อันดีภายในครอบครัว ทำให้ทุกคนในครอบครัวคิดดีทำดี ไม่มีความขัด และไม่เป็นปัญหาสังคม สร้างพื้นฐานสังคมให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อต่างชาติ ร่วมกันดำเนินการทั้งหมดอย่างเป็นรูปธรรมตามนโยบายของรัฐบาล การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในอีก 20 ปี ผ่านทางเด็กนักเรียนและเยาวชน เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมาย ที่จะพัฒนาประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่งและ ยังยืนต่อไป
----------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th