นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมคณะกรรมการดิจิทัลฯ เดินหน้าตั้งดิจิทัลพาร์คไทยแลนด์ ดึงนักธุรกิจต่างชาติร่วมสร้างพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ใน EEC

ข่าวทั่วไป Thursday April 20, 2017 15:01 —สำนักโฆษก

นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมคณะกรรมการดิจิทัลฯ ครั้งที่ 1/60 เดินหน้าตั้งดิจิทัลพาร์คไทยแลนด์ ดึงนักธุรกิจต่างชาติร่วมสร้างพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ใน EEC พร้อมเพิ่มบทบาทไปรษณีย์ไทย 5,000 กว่าแห่งทั่วประเทศ รองรับการซื้อขายออนออนไลน์ 24,700 หมู่บ้าน

วันนี้ (20 เม.ย.60) เวลา 09.30 น. ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560 ซึ่งมี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม โดยภายหลังการประชุม นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วยนางสาววิไลลักษณ์ ชุลีวัฒนกุล ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนางวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้แถลงผลการประชุม สรุปสาระสำคัญว่า

ที่ประชุมได้มีการพิจารณาเกี่ยวกับการดำเนินงานของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรวมถึงบทบาทภารกิจของคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ได้แต่งตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการตามพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. 2560 ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2560 เป็นต้นมา โดยที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อเป็นการวางรากฐานการขับเคลื่อนการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยมุ่งหมายให้เกิดการพัฒนาโครงข่ายอินเทอร์เน็ตให้ครอบคลุมทุกหมู่บ้าน และการเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศให้สามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น ประกอบด้วยกิจกรรมที่ 1 การขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมทั่วประเทศเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศ วงเงิน 15,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินการในชื่อโครงการ “เน็ตประชารัฐ” และกิจกรรมที่ 2 การเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) วงเงิน 5,000 ล้านบาท ที่มอบหมายให้บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินการ โดยทั้งสองกิจกรรมมีความคืบหน้าตามลำดับเป็นไปตามแผนการดำเนินงานที่กำหนดไว้

พร้อมกันนี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้นำเสนอแนวความคิดการจัดตั้งเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Park Thailand) เพื่อสนองตอบการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลในสองนโยบายหลัก ได้แก่ นโยบายประเทศไทย 4.0 และนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล ทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลของไทยเอง และการประยุกต์ใช้ดิจิทัลในการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายทั้ง 10 กลุ่มอุตสาหกรรมนำไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยจะดำเนินการบนพื้นที่ประมาณ 700 ไร่ บริเวณอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของศูนย์โทรคมนาคมศรีราชา บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ซึ่ง Digital Park Thailand จะเป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ที่จะเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลของภูมิภาค (Global Digital Hub) ที่มุ่งเน้นให้เกิดการลงทุนเพื่อการพัฒนาธุรกิจดิจิทัลควบคู่กับการสร้างสรรค์นวัตกรรมดิจิทัล บนพื้นฐานของการเป็นศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศ (International Exchange Gateway) และศูนย์ข้อมูลของประเทศ (Data Center Hub) ทั้งนี้ จากการพบปะหารือกับเอกอัครราชทูตประเทศต่างๆ ของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ หลายประเทศให้ความสนใจโครงการดังกล่าวนอกเหนือจากผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างประเทศ

นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ เห็นชอบโครงการดิจิทัลชุมชน (Digital community) ซึ่งการพัฒนาดิจิทัลชุมชนระดับหมู่บ้านเพื่อให้เกิดการสร้างรายได้ผ่านธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) ตามนโยบายรัฐบาลไทยแลนด์ 4.0 มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ลดความเหลื่อมล้ำสร้างรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนทั่วประเทศ ซึ่งเป็นไปตามยุทธศาสตร์กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่เน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ทันสมัย มีเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงครอบคลุมและเข้าถึงทุกหมู่บ้าน เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้บริการได้อย่างเท่าเทียมกันโดยเน้นการทำธุรกิจ e-Commerce ชุมชน เพิ่มขีดความสามารถในการนำสินค้าที่มีคุณภาพมาซื้อขายข้ามภูมิภาค โดยอาศัยศักยภาพของบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ที่มีเครือข่ายสาขาที่ทำการไปรษณีย์กระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 5,000 แห่ง มีเครือข่ายเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ทั่วประเทศกว่า 25,000 คน มีเครือข่ายเส้นทางการขนส่งไปรษณีย์ มากกว่า 400 เส้นทาง ร่วมกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 24,700 หมู่บ้าน ตามโครงการเน็ตประชารัฐ ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์จากช่องทางการจำหน่ายสินค้าไม่ว่าจะจำหน่ายหน้าร้าน ณ ที่ทำการไปรษณีย์ จำหน่ายผ่านแคตตาล็อก หรือจำหน่ายผ่านระบบซื้อขายสินค้าออนไลน์ (e-Market Place) รวมทั้งในเรื่องการกระจายสินค้านำส่งไปยังผู้ซื้อทั่วประเทศ (e-Logistics) และยังสามารถใช้ประโยชน์จากระบบการรับชำระเงิน (e-Payment) ทั้งแบบชำระด้วยเงินสด ชำระเงินออนไลน์ และการเก็บเงินปลายทาง (COD: Cash on Delivery) ทั้งนี้ จะเป็นประโยชน์อย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจชุมชนซึ่งรวมถึงชาวบ้านที่มีสินค้าและบริการท้องถิ่น ที่จะจำหน่ายในช่องทางใหม่ และผู้ประกอบการท้องถิ่นหรือ “โชห่วย” ที่จะเป็นศูนย์บริหารและกระจายสินค้าชุมชนระดับหมู่บ้านที่มีประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล โดยจะมีการฝึกอบรมทั้งโชห่วยและชาวบ้านครั้งใหญ่ตามมา

ในตอนท้ายที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาระเบียบและหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. 2560 เพื่อขับเคลื่อนการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพและฉับไวต่อไปด้วย

-------------------------------

กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก

(ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการดิจิทัลฯ)

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ