วันนี้ (24 เม.ย. 60) เวลา 09.30 น. ณ ห้องแกรนด์ ซี โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ คอนเวนชั่น ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดสัมมนา “การนำเสนอผลงานวิจัยภายใต้แผนงานวิจัยที่มุ่งเป้าหมายตอบสนองความต้องการในการพัฒนาประเทศกลุ่มเรื่องข้าว” จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ซึ่งมีผู้ร่วมงานประกอบด้วย นางสาวชุติมา บุณยประภัศร์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คณาจารย์ นักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิจากสถาบันคลังสมองของชาติ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กรมการข้าว เกษตรกรซึ่งเป็นปราชญ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเกษตรแม่โจ้ ผู้ประกอบการด้านการแปรรูปผลผลิตจากข้าวและคณะสื่อมวลชน รวมทั้งสิ้นประมาณ 300 คน
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวเปิดสัมมนาพร้อมปาฐกถาพิเศษเรื่อง แนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าวอย่างครบวงจร” ซึ่งสรุปสาระสำคัญว่า ข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย หนึ่งในห้าของพื้นที่ของประเทศไทยหรือประมาณ 70 ล้านไร่ เป็นพื้นที่ทำนา โดยกระจายครอบคลุมอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศกว่า 230,000 ล้านบาทต่อปี ขณะเดียวกันประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวสู่ตลาดโลกในอันดับต้น ๆ ของโลก โดยมีคู่แข่งการส่งออกข้าวที่สำคัญคือ ประเทศเวียดนาม อย่างไรก็ตาม ชาวนาไทยจำเป็นต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่มากขึ้น โดยผ่านกระบวนการเครือข่ายองค์กรบริหารงานวิจัยแห่งชาติ ประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) (สวก.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) โดยมีความเห็นว่าการแก้ไขปัญหาข้าวและยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวนาจำเป็นต้องใช้งานวิจัยและนวัตกรรม ซึ่งรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณสนับสนุนภายใต้แผนงานวิจัยมุ่งเป้าหมายตอบสนองความต้องการพัฒนาประเทศกลุ่มเรื่องข้าว ส่งผลให้ปัจจุบันผลงานวิจัยหลายเรื่องได้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมข้าวทั้งระบบ เช่น เกษตรกรชาวนาได้รับทราบถึงคุณสมบัติและประโยชน์ของข้าวไทยในแต่ละสายพันธุ์ ต้นแบบการ แปรรูปข้าวเป็นผลิตภัณฑ์ในรูปแบบของอาหารเสริมสุขภาพ โดยหน่วยงานภาครัฐดังกล่าวได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีและวิธีการพัฒนาพันธุ์ข้าวต่างๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้แก่เกษตรกรชาวนา ผลงานวิจัยหลายเรื่องได้มีการต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ โดยมีภาคเอกชนรับผลผลิตไปจำหน่ายทางการค้าในระดับนานาชาติ
รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษเพิ่มเติมว่า การบริหารจัดการข้าวให้มีคุณภาพและเป็นที่ต้องการของตลาดนั้น ต้องมีองค์ประกอบของทุกภาคส่วนทั้งภาคการเกษตร ภาครัฐ และภาคเอกชนตลาดจนภาคนักวิชาการเพื่อให้ข้าวไทยมีคุณภาพที่ดีสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ โดยต้องดูแลใกล้ชิดในกระบวนการเพาะปลูก เช่น เปลี่ยนจากปุ๋ยเคมีเป็นปุ๋ยอินทรีย์ โดยมีพื้นที่เลี้ยงไก่ เลี้ยงเป็ดหรือเลี้ยงกุ้งและปลา เพื่อนำมูลสัตว์มาเป็นปุ๋ยอินทรีย์ ส่วนทรัพยากรน้ำ ก็มีการใช้น้ำเพื่อการเกษตรอย่างสมดุลพร้อมพัฒนาพันธุ์ข้าวให้มีคุณภาพ
ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการต้องให้ความร่วมมือด้วยเพื่อให้กระบวนการเก็บข้าวสารสู่กระบวนการผลิตเป็นข้าวสารมีคุณภาพปราศจากมอด โดยมีการเก็บผลผลิตข้าวสารในอุณหภูมิที่เหมาะสม ทั้งนี้ รัฐบาลคาดหวังว่าการรวมกลุ่มช่วยเหลือกันอย่างเป็นระบบนั้นจะทำให้ข้าวไทยมีคุณภาพก้าวสู่ “Smart Farmer” พร้อมกับรักษาชื่อเสียงของประเทศไทย ในฐานะเป็น “อู่ข้าว อู่น้ำ”
ให้คงอยู่ตลอดไป ส่งผลให้คุณภาพชีวิตเกษตรกรชาวนาดีขึ้น พร้อมทั้งให้ยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ไว้เป็นแนวทางในการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ให้เกิดความสมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมตรงตามเจตนารมณ์ของรัฐบาล
หลังจากนั้น รองนายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมการจัดนิทรรศการ ผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่เป็นผลผลิตจากการแปรรูปข้าวของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในรูปแบบของเวชสำอาง อาหารสำเร็จรูป ข้าวพันธุ์ต่าง ๆ เช่น ข้าวหอมมะลิระดับส่งออก ข้าวสังข์หยดและข้าวไรซ์เบอรี่ เป็นต้น
...................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th