วันนี้ (23 พฤษภาคม 2560) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณห้องโถงชั้นล่าง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้
ประเด็นเรื่องเหตุการณ์ระเบิด ณ บริเวณชั้น 1 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 80 ปี โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าฯ ว่าเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงและไม่สามารถให้อภัยได้ โดยไม่คำนึงถึงผู้บริสุทธิ์ เพราะไม่มีผู้ก่อเหตุใดกระทำการในพื้นที่บริเวณของโรงพยาบาล เพราะประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วย ซึ่งมีความทุกข์จากอาการเจ็บป่วยมากพออยู่แล้ว ถือว่าผู้ที่ก่อเหตุเป็นคนที่ใจร้ายมาก ส่วนวัตถุประสงค์ในการก่อเหตุจะเชื่อมโยงกับการครบรอบ 3 ปี คสช. หรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรีมีความเชื่อว่าไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน เนื่องด้วยรัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญ อย่างไรก็ตามจำเป็นต้องรอผลสอบสวนจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกครั้งหนึ่ง ส่วนจะจับตัวผู้ดำเนินการได้เมื่อใดนั้น ทางรัฐบาลจะเร่งดำเนินการโดยเร็วที่สุด
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ส่วนประเด็นเรื่องกล้องวงจรปิดในพื้นที่เกิดเหตุนั้น ทางรัฐบาลได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดในพื้นที่ดังกล่าวโดยเร่งด่วนแล้ว แต่ต้องเข้าใจด้วยว่ากล้องวงจรปิดบางตัวที่ติดตั้งในพื้นที่ได้ติดตั้งมาเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว และยังเป็นของหน่วยงานต่าง ๆ อีกด้วย ซึ่งทางรัฐบาลจะพยายามปรับปรุงแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้อย่างดีที่สุด และในส่วนประเด็นเรื่องของการรักษาความปลอดภัยนั้น ทางรัฐบาลได้สั่งการให้มีการเพิ่มมาตรการที่มีความเข้มงวดมากขึ้นโดยเฉพาะในพื้นที่ของหน่วยงานราชการ เขตพระราชฐาน สถานที่ทั่วไปที่มีความเสี่ยงต่าง ๆ ซึ่งจะมีการตรวจสอบบุคคลเข้าและออกในพื้นที่ รวมถึงยานพาหนะต่าง ๆ จำเป็นจะต้องมีการตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้นกว่าเดิม เช่นกัน
นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำอีกว่า เหตุการณ์ระเบิดดังกล่าวจะเกี่ยวข้องหรือเชื่อมกับฝ่ายการเมืองหรือไม่ อย่างไรนั้น ก็ต้องเป็นเรื่องของการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ทางฝ่ายความมั่นคง ซึ่งก็ไม่ประสงค์ไปกล่าวหาหรือกล่าวโทษใครทั้งสิ้น แต่นายกรัฐมนตรีมีความเชื่อว่าผู้ก่อเหตุดังกล่าวจะต้องถูกลงโทษจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ อย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้ขอให้ทุกกลุ่มทุกผ่ายได้ย้อนกลับไปดูสิ่งที่ทางรัฐบาลและ คสช. ได้กระทำมาตลอด 3 ปี ที่ผ่านมาว่า ทางรัฐบาลและ คสช. ได้แก้ไขปัญหาอะไรเพื่อชาติบ้านเมืองไปแล้วบ้าง ทุกวันนี้มีการแก้ไขปัญหาลุล่วงไปแล้วมากมาย มีทั้งที่ทำสำเร็จแล้ว และรวมถึงเรื่องที่ยังทำไม่สำเร็จ ซึ่งเรื่องที่ยังทำไม่สำเร็จ รัฐบาลก็จะมีการเร่งรัดแก้ไขปัญหาให้สำเร็จโดยเร็วต่อไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมถึงในส่วนเรื่องของการแถลงผลงาน 3 ปี ของ คสช. ว่า ทุกวันนี้ทางรัฐบาลพยายามจะชี้แจง โดยให้ทุกกระทรวงต่าง ๆ นำผลงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอยู่แล้วมาชี้แจง แต่คงต้องชี้แจงในรูปแบบลักษณะของงานที่ต่อเนื่อง และเชื่อมโยงว่าที่รัฐบาลทำทุกวันนี้ว่าใครได้ประโยชน์อย่างไรบ้าง โดยจะกล่าวถึงหลักการหรือมาตรการอย่างเดียวหลายคนอาจจะไม่เข้าใจทั้งหมด ซึ่งจำเป็นต้องมีการทยอยพัฒนาทุกพื้นที่ให้เป็นไปตามลำดับความเดือดร้อน เช่น เรื่องโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาพื้นที่ของกลุ่มจังหวัดทั่วประเทศ คือทุกกลุ่มก็หวังเพียงแต่จะได้งบประมาณมากที่สุดและมากขึ้นในการพัฒนาพื้นที่ของตนเอง แต่ประเด็นสำคัญรัฐบาลจะจัดหางบประมาณจากส่วนไหนมาให้เท่ากันทั้งหมด ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้นั้นไม่สามารถดำเนินการหรือทำได้ทั้งหมดพร้อมกัน โดยจะมีการชี้แจงให้ทุกกลุ่มได้รับรู้และรับทราบมากยิ่งขึ้น เพื่อเกิดความรู้ความเข้าใจที่ดียิ่งขึ้น
เรื่องของการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยที่มีรายได้ต่ำกว่า 1 แสนบาทต่อปี นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า โดยปัจจุบันมีผู้รายได้ต่ำกว่า 3 หมื่นก็ยังมีอยู่ ซึ่งทางรัฐบาลจะต้องเข้าไปช่วยดูแลผู้มีรายได้น้อยให้ให้มีรายได้สูงขึ้น ซึ่งก็ต้องออกมาตรการมาช่วยเสริม และมีการช่วยเหลืองบประมาณลงไปบ้าง โดยในปีนี้มีคนมาลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยสูงขึ้น ซึ่งเห็นว่ารัฐบาลเอาจริงเอาจังในเรื่องนี้ จึงทำให้มีคนมาลงทะเบียนเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่แล้ว หลังจากนี้รัฐบาลต้องไปคัดกรองและจำเป็นโดยจะต้องใช้เวลาตรวจสอบประมาณ 2 เดือน โดยจะให้นักศึกษาลงไปช่วยตรวจประเมินจากในพื้นที่จริงว่าเขามีรายได้เช่นนี้จริงหรือเปล่า ทั้งนี้ จะเป็นการส่งเสริมการสร้างงานสร้างอาชีพให้กับนักศึกษาอีกด้วย ไม่ใช่ช่วยเหลือแต่เรื่องการศึกษาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
สำหรับประเด็นเรื่องของการกำหนดวันเลือกตั้งนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวเน้นว่าปัจจุบันทุกอย่างยังเป็นไปตามโรดแมปที่กำหนดไว้ โดยตามโรดแมปไม่ได้กำหนดวันและเวลาไว้ ถ้ามีเหตุการณ์อะไรก็อาจมีเลื่อนออกไปบ้างตามสถานการณ์ แต่สิ่งสำคัญคือถ้าบ้านเมืองมีสถานการณ์เช่นปัจจุบัน มีการวางระเบิดโดยใช้อาวุธสงคราม มีความขัดแย้งแล้วจะมีการเลือกตั้งได้หรือไม่ ซึ่งรัฐบาลกำหนดวันไปก็เท่านั้น ดังนั้นทุกคนจะต้องร่วมมือกันเพื่อเดินไปสู่จุดนั้นให้ได้
ในส่วนเรื่องมาตรการเฝ้าระวังในช่วงเดือนรอมฎอนของชาวไทยมุสลิมนั้น วันนี้ทางฝ่ายความมั่นคงได้เข้ามาดูแลอยู่อย่างใกล้ชิด แต่ทั้งนี้ก็หวังให้เกิดเหตุการณ์ให้น้อยที่สุดหรือไม่มีเลย โดยทุกคนต้องร่วมมือกันในทุกประเด็นและทุกมิติ เพื่อสร้างความเข้าใจจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงไปสู่สถานการณ์ที่ดีขึ้นได้ โดยจะต้องช่วยชี้แจงไม่ให้มีการเข้าไปหลงเชื่อคำบิดเบือนต่าง ๆ
ตอนท้ายของการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงในประเด็นเรื่องการเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ โดยผู้สูงอายุในประเทศไทยในปัจจุบันนั้น มีจำนวนมากขึ้นป็นระดับต้น ๆ ของอาเซียน ซึ่งภายใน 4 - 5 ปีข้างหน้า จะมีผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นอีก โดยรัฐบาลก็ต้องเข้าไปดูแลเพิ่มมากขึ้น พร้อมจะต้องไปดูแลในสัดส่วนของงบประมาณว่าต้องใช้จำนวนเท่าไร และในส่วนของภาคธุรกิจจะมีปัญหากับแรงงานในอนาคตอย่างไรบ้าง เนื่องด้วยในปัจจุบันอัตราการเกิดของคนไทยน้อยลงบวกกับผู้สูงอายุที่มีมากขึ้นตามลำดับ โดยรัฐบาลได้เห็นชอบในหลักการจึงได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษาในเรื่องดังกล่าวนี้ ในส่วนการเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ หรือจะเพิ่มอย่างไรก็ต้องไปดูในส่วนของงบประมาณที่มีอยู่ให้เหมาะสม ดังนั้นจึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาเพิ่มเติมว่าถ้าไม่ได้ตามที่ขอไว้จะมีมาตรการทำอย่างไรต่อไป
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึง กรณีข้อเสนอของคณะอนุกรรมาธิการร่วมระหว่างสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เรื่องปฏิรูปกิจการตำรวจที่ต้องการให้อยู่ภายใต้กระทรวงยุติธรรมว่า ตนได้สั่งการให้ไปพิจารณาใหม่ จากเดิมที่ตำรวจขึ้นอยู่กับกระทรวงมหาดไทยตอนหลังมาอยู่ที่สำนักนายกรัฐมนตรี แต่ถ้าไปอยู่ที่อื่นจะเหมาะสมหรือไม่อย่างไร โดยกำลังไปพิจารณาว่าหากไปอยู่ในฝ่ายความมั่นคงจะดีหรือไม่ เพราะต้องดูแลซึ่งกันและกัน โดยให้ไปหารือและหาทางออกไว้เรียบร้อยแล้ว
********************************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th