วันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2544
วันนี้ เวลา 14.00 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายบ๊อบบี้ แม็คโดนาช (Mr. Bobby McDonagh) เอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อเข้าอำลา ในโอกาสที่พ้นจากหน้าที่ ภายหลังกล่าวต้อนรับ ได้มีการสนทนาสรุปสาระสำคัญของการสนทนาได้ดังนี้
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวสอบถามถึงงานในตำแหน่งหน้าที่ใหม่ ภายหลังจากพ้นจากหน้าที่เอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ประจำประเทศไทย พร้อมกับกล่าวชื่นชมการทำงานของเอกอัครราชทูตตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย
ในการนี้ เอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ประจำประเทศไทยได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ได้ให้เข้าเยี่ยมคารวะ เนื่องจากทราบดีถึงภารกิจที่มากมายของนายกรัฐมนตรี โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้สนทนาเกี่ยวกับความร่วมมือในภูมิภาค ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมความสำเร็จของความร่วมมือของกลุ่มสหภาพยุโรป และกล่าวว่าประเทศอาเซียนเองก็มีความพยายามที่จะร่วมมือกันให้มากยิ่งขึ้น แม้จะยังมีอุปสรรคในเรื่องของความแตกต่างกันในระดับการพัฒนาของประเทศในอาเซียนอยู่มาก
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวอวยพรให้เอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานที่จะได้รับมอบหมายต่อไปในเวลา 14.30 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นาย Niels Kaas Dyrlund เอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี เพื่ออำลาในโอกาสพ้นจากตำแหน่งหน้าที่ ภายหลังการต้อนรับ สามารถสรุปการสนทนา สาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความชื่นชมต่อความช่วยเหลือทางการเงินที่เดนมาร์ก มีให้แก่โครงการพัฒนาด้านต่างๆ ของไทย โดยเฉพาะด้านการศึกษา การสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ซึ่งรัฐบาลก็ได้ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมในด้านต่างๆ อาทิ โครงการผลิตน้ำมันชีวภาพ (Bio-Petroleum) จากปาล์มน้ำมัน และการสนับสนุนการวิจัยของเกษตรศาสตร์มหาวิทยาลัย เพื่อพัฒนาผลิตภัณท์โฟมจากพืชมันสำปะหลังเพื่อย่อยสลายง่าย ซึ่งนอกจากจะเป็นการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังมีส่วนช่วยส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากผลผลิตทางการเกษตร โดยนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงความเชื่อส่วนตัวว่า ประเทศชาติจะไม่สามารถเติบโตอย่างยั่งยืน ได้ตราบใดที่เกษตรกรยั่งยากจน รัฐบาลจึงได้ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาศักยภาพ ส่งเสริมวิสาหกิจชุมชุน เพื่อสร้างความเข้มแข็งของประชาชนในระดับรากหญ้า ควบคู่กับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศและการส่งออก
เอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทย ได้กล่าวถึงการเสด็จเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอ ที่ 2 แห่งเดนมาร์ก เจ้าชายเฮนริก พระราชสวามี เจ้าชายเฟรเดอริก มกุฎราชกุมาร ได้แสดงความสนพระทัยการพัฒนาด้านการศึกษาและการสาธารณสุข ซึ่งเป็นสาขาที่ไทยและเดนมาร์ก มีความร่วมมืออย่างดี ในโอกาสนี้ เอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทยยังได้กล่าวเชิญนายกรัฐมนตรี เดินทางเยือนประเทศเดนมาร์ก ในวาระที่เดนมาร์กจะเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุม ASEM ครั้งที่ 4 ณ. เมืองโคเปนเฮเกน ช่วงเดือนกันยายน 2544 นี้
จากนั้นเวลา 15.00 น. นาย Bernard Frey Mond สวิตเซอร์แลนด์ประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคาระพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อเข้าอำลา ในโอกาสที่พ้นจากหน้าที่ ซึ่งได้มีการสนทนา สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความยินดีต่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและสวิตเซอร์แลนด์ และชื่นชมในความสามารถของเอกอัครราชทูตสวิตเซอร์แลนด์ประจำประเทศไทยที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ รวมถึงความร่วมมือระหว่างรัฐบาลในการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน โดยรัฐบาลสวิสเซอร์แลนด์ได้อนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้บุคคลสัญชาติไทยเดินทางเข้าและอยู่ในสวิสเซอร์แลนด์ได้เป็นเวลา 3 เดือน หรือไม่เกิน 6 เดือนต่อปี โดยไม่ต้องขอวีซ่า
ในโอกาสนี้ เอกอัครราชทูตสวิสเซอร์แลนด์ประจำประเทศไทยได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้เข้าเยี่ยมคารวะเพื่ออำลาในวันนี้ พร้อมได้กล่าวว่าตลอดเวลาที่ดำรงตำแหน่งในประเทศไทยรู้สึกประทับใจในหลายๆ ด้าน และมั่นใจว่าประเทศไทยภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีจะสามารถผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจได้ในไม่ช้านี้ ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตสวิสเซอร์แลนด์ได้กล่าวถึงความสำคัญของการส่งเสริมอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมว่า รัฐบาลสวิสเซอร์แลนด์ได้เล็งเห็นความสำคัญของอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมและได้ส่งเสริมให้อุตสาหกรรมดังกล่าวเข้ามาลงทุนในประเทศไทยให้มากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทย นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตสวิสเซอร์แลนด์ยังได้แสดงความเชื่อมั่นในนโยบายของรัฐบาลว่าจะสามารถดำเนินการได้เห็นผลดังที่ตั้งไว้
ฝ่ายสื่อมวลชนสัมพันธ์ สำนักโฆษก โทรภายใน 8055 โทร 6299292,6299491 โทรสาร 2814450
-สส-