วันนี้ (21 ส.ค. 60) เวลา 08.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและคณะ เดินทางมายังศาลาอเนกประสงค์ สวนสาธารณะเทศบาลตำบลหัวทะเล อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา เพื่อพบปะกับประชาชนในจังหวัดนครราชสีมา และตอบข้อซักถามจากประชาชนในพื้นที่
เมื่อเดินทางถึงนายกรัฐมนตรีได้รับชมวีดิทัศน์“ทิศทางการพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” โดยเสนอว่าต้องฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ควบคู่กับการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำ เพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจในปัจจุบัน และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายใน โดยเพิ่มศักยภาพการผลิตสินค้า เพิ่มมูลค่าให้แก่ผลิตภัณฑ์จากอุตสาหกรรมเกษตร และยกระดับการท่องเที่ยวเชิงประเพณีวัฒนธรรม พร้อมทั้งพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจใหม่บริเวณชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้เป็นประตูเศรษฐกิจเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจพิเศษมุกดาหาร หนองคาย นครพนม และแนวระเบียงเศรษฐกิจ ได้แก่ EWEC (ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มุกดาหาร) และ เหนือ-ใต้ (ระยอง นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี หนองคาย) และควรใช้โอกาสจากการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งที่เชื่อมโยงกรุงเทพฯ กับพื้นที่ EEC เพื่อพัฒนาเมือง และพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ๆ ของภาค ซึ่งจะช่วยลดปัญหาความยากจนได้
จากนั้น นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา กล่าวต้อนรับและรายงานผลการพัฒนาจังหวัดนครราชสีมาว่าในช่วงระยะเวลา 3 ปี รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณลงมาในพื้นที่เพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ ยกระดับศักยภาพหมู่บ้าน พัฒนาเกษตรอย่างยั่งยืนด้วยการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ โดยเฉพาะการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ และกระจายความเจริญไปทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นับได้ว่าระยะ 3 ปี รัฐบาลได้สร้างพื้นฐานความแข็งแกร่งของประเทศเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีได้รับชมคลิปวีดีโอเสียงสะท้อนจากตัวแทนพี่น้องชาวนครราชสีมาซึ่งฝากข้อคิดเห็นและข้อเรียกร้อง ในเรื่องต่างๆ ดังนี้ การบริหารจัดการน้ำ การจัดการขยะโดยเฉพาะในพื้นที่เขตเมือง/หน้าเทศกาลการเพิ่มพื้นที่สีเขียว/สวนสาธารณะในชุมชน ปัญหาการจราจรเรื่องร้านค้าเล็กๆ ในชุมชนขายของได้น้อย และโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ภาคอีสานเป็นภาคที่มีความสำคัญ การมาประชุม ครม. ครั้งนี้ได้นำคณะรัฐมนตรีลงพื้นที่เพื่อติดตามสถานการณ์และผลการดำเนินการตามนโยบายของรัฐ นายกรัฐมนตรีเห็นว่าการแก้ไขปัญหาทั้งหลายให้หมดไปอย่างยั่งยืนต้องใช้ความร่วมมือ ใช้พลังจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน ที่สำคัญคือพี่น้องประชาชน พวกเราทุกคนต้องร่วมมือกัน รัฐบาลได้วางรากฐานอนาคตในอีก 20 ปีข้างหน้า เพื่อให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ “มั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน” โดยน้อมนำ “ศาสตร์พระราชา” ของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาสู่การปฏิบัติ3 ปีที่ผ่านมารัฐบาลได้จัดตั้งศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร การทำแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการทั้งระบบ การจัดสรรที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยให้ผู้มีรายได้น้อย การยกระดับผู้ประกอบการ SMEs ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน ส่งเสริมสินค้า OTOP ให้ไปไกลในตลาดโลก ไม่เพียงแต่ด้านเกษตรกรรม รัฐบาลยังส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมโดยกำหนด 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย เร่งสถาบันการศึกษาผลิตแรงงานมีฝีมือเพื่อป้อนตลาดแรงงานในอนาคต ส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนารวมถึงการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จะมารองรับการค้า การลงทุน การขนส่งและเชื่อมโยงภูมิภาค CLMVTโครงการอินเตอร์เน็ตประชารัฐซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำของประชาชนในหมู่บ้าน สำหรับเรื่องที่ดินป่าไม้นั้นรัฐบาลพยายามฟื้นฟูป่าพร้อมทั้งหยุดยั้งการบุกรุกตลอดจนสร้างป่าเพิ่มเพื่อช่วยรักษาระบบนิเวศน์ให้อุดมสมบูรณ์
สำหรับโครงการรถไฟทางคู่ที่ผ่าเมืองโคราชเป็นสองส่วนนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าโครงการนี้เป็นเรื่องสำคัญและจะช่วยสร้างความเจริญให้กับพี่น้องชาวโคราชในอนาคต อย่างไรก็ดีการยกระดับรถไฟนั้นต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นกว่า 2,600 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลจะใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่าและพยายามอย่างเต็มความสามารถที่จะลดผลกระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของพี่น้องชาวโคราช
การพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นับว่ามีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศโดยรวม รัฐบาลเร่งดำเนินการ ในการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีและยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับพี่น้องประชาชนชาวอีสานให้ได้รับความสะดวกในการดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพที่เหมาะสม โดยต้องทำให้การอยู่อาศัยในแต่ละพื้นที่มีความเท่าเทียมกันกระจายความเจริญ ลดความเหลื่อมล้ำสร้างโอกาสในอาชีพในถิ่นฐานบ้านเกิดลดช่องว่างรายได้ และกระจายรายได้ที่เป็นธรรม
รัฐบาลตั้งเป้าหมายการพัฒนาอีสานสู่มิติใหม่ “ศูนย์กลางเศรษฐกิจของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง” ด้วยการผลักดันและพัฒนาในด้านต่างๆ ให้เกิดผลลัพธ์ชัดเจนมากขึ้นคือ 1. การบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน 2. การแก้ปัญหาความยากจนและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อยเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม 3. การสร้างความเข้มแข็งของฐานเศรษฐกิจภายในควบคู่กับการแก้ไขปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ในการนี้นายกรัฐมนตรียืนยันว่ารัฐบาลพร้อมสนับสนุนการดำเนินงานของทุกภาคส่วน ทุกโครงการให้ประสบความสำเร็จ เพื่อให้ประชาชนชาวอีสานได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ พร้อมทั้งชื่นชมทุกภาคส่วนที่ให้ความร่วมมือในการทำงานอย่างทุ่มเทเพื่อพี่น้องประชาชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ที่มา: http://www.thaigov.go.th