วันนี้ (25 สิงหาคม 2560) เวลา 14.00 น. นายคริสเตียน เรเรน บาร์เกตโต (Mr. Christian Rehren Bargetto) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐชิลีประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญการหารือดังนี้
นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่นายคริสเตียน เรเรน บาร์เกตโต เข้าดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐชิลีฯ คนใหม่ และเชื่อมั่นว่าภายใต้การทำงานของเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐชิลีฯ จะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างไทยกับชิลีให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างยินดีกับการครบรอบ 55 ปี ของความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ ในเดือนตุลาคม 2560
โอกาสนี้ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือด้านต่าง ๆ ร่วมกัน อาทิ ด้านการค้าการลงทุน นายกรัฐมนตรียินดีที่มูลค่าการค้าและการลงทุนระหว่างกันเพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภายหลังการลงนามและการบังคับใช้ความตกลงการค้าเสรี ไทย – ชิลี ซึ่งทั้งสองฝ่ายพร้อมส่งเสริมให้มีการใช้ประโยชน์จาก FTA ไทย – ชิลี และเชื่อมั่นว่าการค้าการลงทุนระหว่างทั้งสองประเทศยังคงมีศักยภาพที่จะขยายตัวได้อีกมาก
นายกรัฐมนตรียังเน้นย้ำว่าทั้งสองประเทศสามารถเป็นประตูให้กันและกันสู่ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคของตน โดยเอกอัครราชทูตชิลีประสงค์ที่จะให้ไทยเป็นศูนย์กลางในการเข้ามาทำการค้าและการลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และชิลีจะเป็นประตูด้านการค้าการลงทุนสู่ภูมิภาคละตินอเมริกาให้แก่ไทย ด้านความมั่นคง ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ความร่วมมือด้านนี้มีพัฒนาการที่ดีขึ้นเป็นลำดับ
สำหรับโครงการความร่วมมือไตรภาคี นายกรัฐมนตรียืนยันว่ารัฐบาลไทยพร้อมที่จะดำเนินโครงการไตรภาคีกับชิลี โดยรัฐบาลไทยให้ความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศเพื่อนบ้านให้เติบโตไปด้วยกัน รัฐบาลจึงมีนโยบาย + 1 ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางที่ไทยกับชิลีเห็นพ้องที่จะร่วมกันพัฒนาประเทศอื่น ๆ ในลักษณะไตรภาคี ความร่วมมือในภูมิภาคอาเซียน เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐชิลีฯ ขอให้ไทยสนับสนุนการเพิ่มบทบาทของชิลีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะการขอสมัครเข้าเป็นสมาชิก ASEAN Regional Forum (ARF)
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีฝากความระลึกถึงประธานาธิบดี และประชาชนชิลี พร้อมขอให้ชิลีเชื่อมั่นว่ารัฐบาลไทยมีความพร้อมที่จะทำงานร่วมกับชิลีอย่างใกล้ชิด เพื่อประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ
ที่มา: http://www.thaigov.go.th