นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมติดตามความก้าวหน้าของ จ.สระแก้วในการเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ มอบนโยบายให้หน่วยงานร่วมกันประชาสัมพันธ์ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนให้มากขึ้น ให้เตรียมพร้อมรองรับการลงทุนในทุกด้าน
วันนี้ (28 สิงหาคม 2560) เวลา 11.50 น. ณ ห้องประชุมโรงแรมอินโดจีน อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมติดตามความก้าวหน้าของจังหวัดสระแก้วในการเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ผู้บริหารส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนภาคเอกชนจังหวัดสระแก้วเข้าร่วมประชุม สำหรับการประชุมในครั้งนี้เพื่อรับทราบความคืบหน้าเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสระแก้ว การลงทุนของภาคเอกชนและแนวโน้ม รวมถึงข้อเสนอการบริหารงานศุลกากรเพื่อรองรับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสระแก้ว รวมถึงการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าว และสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์
ด้านความพร้อมของเขตเศรษฐกิจพิเศษสระแก้ว มีการกำหนดขอบเขตพื้นที่ครอบคลุม 4 ตำบล ใน 2 อำเภอ ได้แก่ อำเภออรัญประเทศ และอำเภอวัฒนานคร พื้นที่รวม 332 ตร.กม. ปัจจุบันเปิดบริการให้เอกชนขอรับการส่งเสริมการลงทุนได้แล้ว ส่วนภาพรวมโครงสร้างพื้นฐาน กระทรวง คมนาคมได้ดำเนินการก่อสร้างถนนเพื่อรองรับเขตเศรษฐกิจพิเศษ ดังนี้ 1. ก่อสร้างถนนเลี่ยงเมืองอรัญประเทศด้านใต้ แยก ทล.33 ด่านบ้านคลองลึก ระยะทาง 15.425 กิโลเมตร คาดแล้วเสร็จประมาณเดือนสิงหาคม 2561 2.โครงการทางหลวงอรัญประเทศ - ชายแดนไทย/กัมพูชา (บ้านหนองเอี่ยน - สตึงบท) ระยะแรก ก่อสร้างสะพานคลองพรมโหด และปรับปรุงถนนเชื่อมด่านคลองลึก ระยะที่ 2 ก่อสร้างทางเลี่ยงเมืองอรัญประเทศ 4 ช่องทาง โดยทั้งสองโครงการคาดจะแล้วเสร็จภายในปี 2562
ในส่วนความเชื่อมโยงกับราชอาณาจักรกัมพูชา ได้ดำเนินการก่อสร้างทางรถไฟช่วงชุมทางแก่งคอย - คลองสิบเก้า - สุดสะพานคลองลึกทางฝั่งไทยสร้างเสร็จแล้ว ทางฝั่งกัมพูชาจะสร้างเสร็จภายในปี 2561 พร้อมสามารถเปิดบริการเดินรถข้ามพรมแดนไทย - กัมพูชาได้ ในปี 2561 โดยอนุญาตให้รถบรรทุกและรถโดยสารไม่ประจำทาง รวมจำนวน 150 คัน ในการเดินรถข้ามพรมแดนระหว่างกัน รวมทั้งพัฒนาจุดผ่านแดนถาวรสตึงบทและถนนเชื่อมโยงไปยังถนนหมายเลข 5 ราชาณาจักรกัมพูชา คาดจะแล้วเสร็จภายในปี 2563
ส่วนการบริหารงานด่านศุลกากรอรัญประเทศ จะดำเนินงานตามนโยบายของคณะกรรมการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสระแก้ว โดยใช้กฎระเบียบของกรมศุลกากรให้ผู้ประกอบการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามภายใต้การควบคุมดูแลของด่านศุลกากรอรัญประเทศ และให้เพิ่มโครงสร้างบริหารงานออกมาอย่างชัดเจนเพื่อกำกับดูแลการใช้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ให้เป็นไปตามนโยบาย กฎ ระเบียบของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ พร้อมยกระดับด่านเป็นสำนักงานศุลกากรอรัญประเทศเพื่อให้เหมาะกับพื้นที่และขอบเขตการปฏบัติงานต่อไป
สำหรับความคืบหน้าด้านแรงงานต่างด้าวหลังจากที่รัฐบาลประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 ผู้ประกอบการรวมถึงแรงงานต่างด้าวมีความตื่นตัวจดทะเบียนให้ถูกต้องตามพระราชกำหนดฯ ปัจจุบันมีผู้ประกอบการขึ้นทะเบียนแล้ว 544 ราย มีแรงงานต่างด้าวขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายแล้วจำนวน 1,555 คน ผ่านการคัดกรองแล้ว 1,260 คน ทั้งนี้ จังหวัดสระแก้วมีแรงงานต่างด้าวที่เดินทางไป-กลับแต่ละวันจำนวน 35,471 คน ส่วนการแก้ไขปัญหาสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ ทางจังหวัดได้ทำลายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ในปี 2560 มูลค่ามากกว่า 150 ล้านบาท
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวมอบนโยบายภายหลังการรับฟังรายงานความคืบหน้าฯ ตอนหนึ่งว่า ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการต่างประเทศ บีโอไอ และการนิคมอุตสาหกรรมร่วมกันประชาสัมพันธ์ให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนให้มากขึ้น รวมทั้งให้เตรียมความพร้อมรองรับการลงทุนในทุก ๆ ด้าน เพื่อดึงดูดนักลงทุน เพราะการลงทุนต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก รวมทั้งช่วยกันสร้างความเข้าใจ สร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน ซึ่งเมื่อมีการลงทุนในประเทศจำนวนมาก ก็จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและรายได้ของประเทศตามมา พร้อมกล่าวว่า รัฐบาลไม่มีนโยบายในการเอื้อประโยชน์ให้กับใคร แต่ต้องการให้เกิดการลงทุนภายในประเทศ ทุกอย่างต้องดำเนินการตามกฎหมาย รวมถึงให้ช่วยกันสร้างความเข้าใจต่อต่างประเทศ เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นต่อกระบวนการตามกฎหมายของไทย
สำหรับเรื่องของแรงงานต่างด้าว นายกรัฐมนตรีฝากถึงผู้ประกอบการและแรงงานต่างด้าวให้ขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งถ้าหมดระยะผ่อนผันแล้ว จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และจะไม่มีการผ่อนผันอีก พร้อมกล่าวยืนยันว่า ไม่ต้องการจะรังแกใคร แต่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงให้ระบบเดินหน้าต่อไปได้อย่างถูกต้องตามหลักสากล และกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือค่าปรับแรงงานต่างด้าวให้เหมาะสม รวมถึงมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน และกระทรวงศึกษาธิการเปิดหลักสูตรสอนวิชาชีพให้คนที่ไม่มีวุฒิการศึกษา เข้ามาเรียนเพื่อจะได้มีวิชาชีพในการทำงาน และเตรียมพร้อมรองรับตลาดแรงงานที่ในอนาคตจะขาดแคลน นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้มีการพัฒนาฝีมือแรงงานให้มีคุณภาพมากขึ้น พร้อมฝากถึงผู้ประกอบการว่า อย่าห่วงแต่ตัวเอง ขอให้คำนึงถึงประเทศชาติเป็นหลัก และอย่ามองโอกาสแต่อย่างเดียว ให้เตรียมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นด้วย
ในส่วนเรื่องสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าเป็นเรื่องที่ถูกจับตาจากหลายประเทศ จะต้องดำเนินการแก้ไขอย่างจริงจังให้เป็นรูปธรรมให้ได้ และจะต้องดำเนินคดีกับผู้ประกอบการที่ละเมิดลิขสิทธิ์ หากเจ้าหน้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องดำเนินด้วย จะไม่มีการละเว้น
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th