วันนี้ (18 ธ.ค.60) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ครั้งที่ 7/2560 โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เปิดเผยภายหลังการประชุม ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาและเห็นชอบมาตรการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี โดยให้ขยายเวลาไปจนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2562 จากเดิมที่จะสิ้นสุดลงในสิ้นปี 2560 รวมทั้งได้เห็นชอบให้ปรับปรุงเงื่อนไขในการขอรับส่งเสริม ประกอบไปด้วย
1. การขยายขอบข่ายประเภทกิจการที่ให้ส่งเสริมตามมาตรการนี้ ให้ครอบคลุมกว้างมากยิ่งขึ้น โดยเปิดให้สามารถขอรับการส่งเสริมได้ในเกือบทุกประเภทกิจการรวมจำนวนกว่า 100 ประเภท ซึ่งจากเดิมกำหนดไว้เพียง 40 ประเภทกิจการ พร้อมทั้งให้มีการผ่อนปรนเงื่อนไขเป็นกรณีพิเศษให้แก่กิจการเอสเอ็มอีในบางประเภท
2. การให้สิทธิและประโยชน์ทางภาษีแก่กิจการเอสเอ็มอี แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ (1) สิทธิและประโยชน์พื้นฐาน และ (2) สิทธิและประโยชน์เพิ่มเติม
(1) สิทธิและประโยชน์พื้นฐานที่กำหนดตามประเภทกิจการให้ได้รับการเพิ่มเติมวงเงินภาษีเงินได้นิติบุคคลจากเกณฑ์ปกติร้อยละ 100 เป็นร้อยละ 200 ในประเภทกิจการที่อยู่ในข่ายได้รับยกเว้นภาษีเงินได้
(2) สิทธิและประโยชน์เพิ่มเติมให้ได้รับสิทธิยกเว้นหรือลดหย่อนอากรเพิ่มเติมจากสิทธิประโยชน์พื้นฐานใน 2 กรณี คือ
- กรณีมีการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม การฝึกอบรมด้านเทคโนโลยีขั้นสูง การออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น ซึ่งคณะกรรมการให้ผ่อนปรนเงื่อนไขสัดส่วนเงินลงทุนและค่าใช้จ่าย ให้ลดลงจากเกณฑ์ปกติครึ่งหนึ่งเพื่อให้เอสเอ็มอีใช้ประโยชน์จากมาตรการนี้ได้ง่ายขึ้น หรือ
- กรณีที่ตั้งกิจการใน 20 จังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ หากเป็นประเภทกิจการในกลุ่มที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ 8 ปี จะได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล ร้อยละ 50 เพิ่มเติมอีก 5 ปี และหากเป็นประเภทกิจการในกลุ่มอื่นจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติม 3 ปีจากสิทธิและประโยชน์พื้นฐาน
นอกจากนี้กิจการเอสเอ็มอีที่ได้รับส่งเสริม สามารถนำเครื่องจักรใช้แล้วในประเทศมาใช้ในโครงการที่ขอรับการส่งเสริมได้บางส่วน ในมูลค่าไม่เกิน 10 ล้านบาท อีกด้วย
ที่ประชุมยังได้เห็นชอบให้กำหนดประเภทกิจการเป้าหมายใน “เขตส่งเสริมเพื่อกิจการพิเศษ”ตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ได้แก่ เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation หรือ EECi ) และเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Park Thailand หรือ EECd)
โดยในส่วนของ EECi ได้กำหนดประเภทกิจการเป้าหมายให้สอดคล้องกับ 6 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกำหนดไว้ ประกอบด้วย 1) เกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ 2) แบตเตอรี่-ประสิทธิภาพสูงและยานยนต์สมัยใหม่ 3) การบินและอวกาศ 4) เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ 5) ระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ 6) เครื่องมือแพทย์ โดยแบ่งประเภทกิจการเป้าหมายออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
1) กลุ่มกิจการด้านการวิจัยและพัฒนา รวมถึงกิจการที่สนับสนุนการวิจัยและพัฒนา ที่เกี่ยวข้องกับ 6 อุตสาหกรรมเป้าหมายข้างต้น เช่น กิจการบริการออกแบบทางวิศวกรรม กิจการบริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ กิจการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (เฉพาะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) และกิจการพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมายเป็นต้น
2) กลุ่มกิจการผลิตหรือบริการที่เกี่ยวข้องกับ 6 อุตสาหกรรมเป้าหมายในเขต EECi เช่น กิจการประกอบหุ่นยนต์ หรือ อุปกรณ์อัตโนมัติ การผลิตหรือให้บริการระบบเกษตรสมัยใหม่ กิจการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูง (High Value-added Software) กิจการผลิตเคมีภัณฑ์หรือพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือผลิตภัณฑ์จากพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
สำหรับกิจการเป้าหมายในเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Park Thailand หรือ EECd) ที่ประชุมได้เห็นชอบให้กำหนดกิจการเป้าหมายเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
1) กลุ่มกิจการด้านการวิจัยและพัฒนา รวมถึงกิจการที่สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมดิจิทัล เช่น กิจการออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์ กิจการบริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ กิจการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (เฉพาะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) และกิจการพัฒนา Digital Technology เป็นต้น
2) กลุ่มกิจการด้านอุตสาหกรรมดิจิทัล เช่น กิจการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูง (High Value-added Software) กิจการ Cloud Service กิจการ Data Center และกิจการให้บริการเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Services) เป็นต้น
ทั้งนี้ ตามมติคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2560 โครงการลงทุนในกิจการเป้าหมายที่ตั้งในพื้นที่ EECi และ EECd จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติม 2 ปี จากเกณฑ์ปกติ (รวมสิทธิประโยชน์เดิมเกิน 8 ปีได้) และลดหย่อนอีกร้อยละ 50 เป็นระยะเวลา 5 ปี โดยต้องดำเนินการตามเงื่อนไขความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากรตามที่กำหนด
นอกจากนี้ ตามที่มาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับพื้นที่อีอีซีกำหนดให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยจะต้องมีความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย หรือศูนย์ความเป็นเลิศ ตามรูปแบบที่กำหนดนั้น คณะกรรมการให้ความเห็นชอบกับรูปแบบความร่วมมือฯ เพิ่มเติม ได้แก่ โครงการอาชีวะพิเศษในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกซึ่งจะเน้นการพัฒนาบุคลากรตามความต้องการของผู้ประกอบการ เพื่อให้สามารถทำงานในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูงได้หลังจบการศึกษา
ตามโครงการนี้ บริษัทจะร่วมงานโดยตรงกับสถาบันการศึกษา ในการร่วมกันรับนักศึกษา และร่วมกันกำหนดหลักสูตร โดยจะให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายแก่นักศึกษา เช่น ค่าเล่าเรียน เงินเดือนนักศึกษา เป็นต้น รวมถึงการรับนักศึกษาไปฝึกงานและการรับนักศึกษาเข้าทำงานหลังสอบผ่านหลักสูตรของโครงการด้วย
----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
(ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน)
ที่มา: http://www.thaigov.go.th