นายกรัฐมนตรีย้ำ การลงพื้นที่เพื่อต้องการรับฟังปัญหาและความเดือนร้อนของประชาชนด้วยตนเอง

ข่าวทั่วไป Monday December 25, 2017 14:55 —สำนักโฆษก

นายกรัฐมนตรีแจงการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ต้องคำนึงถึงศักยภาพของพื้นที่ที่สามารถพัฒนาให้เป็นแหล่งเก็บกักน้ำได้
วันนี้ (25 ธ.ค. 60) เวลา 11.00 น. ณ อาคารศรีวชิรโชติ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม จังหวัดพิษณุโลก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นสักขีพยานในการมอบหนังสืออนุญาตให้ทำประโยชน์ในที่ดินทำกิน (21 พื้นที่) ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด 14 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกำแพงเพชร เชียงราย เชียงใหม่ ตาก นครสวรรค์ น่าน พะเยา พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ แม่ฮ่องสอน ลำปาง สุโขทัย และอุตรดิตถ์ พร้อมพบปะประชาชน โดยมีนายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ผู้บริหาร ผู้นำชุมชน ท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ และประชาชนมารอให้การต้อนรับ

จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวกับประชาชนที่มาต้อนรับว่า การมาลงพื้นที่ในวันนี้ได้นำคณะรัฐมนตรี มารับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนชาวจังหวัดพิษณุโลกด้วยตนเอง เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจระหว่างกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ไปเยี่ยมชมวิสาหกิจฯ บ้านวังส้มซ่า ที่มีการนำองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาต่อยอดในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ ในรูปแบบกลไกของประชารัฐ ที่มีการต่อยอดเรื่องการแปรรูปของผลิตภัณฑ์ในชุมชนเดิม

นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบในลุ่มน้ำหลักของภาค ที่ประสบปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วมซ้ำซากอยู่เป็นประจำทุกปีว่า การบริหารจัดการน้ำถือเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงศักยภาพของพื้นที่ที่สามารถพัฒนาให้เป็นแหล่งเก็บกักน้ำได้ ตลอดจนต้องมีการบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ซึ่งต้องใช้หลักวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีในการสำรวจ จัดทำข้อมูล วิเคราะห์และจัดทำแผนพัฒนาพื้นที่ ฟื้นฟู ตลอดจนการปรับปรุงแหล่งน้ำ โครงสร้างน้ำ เพื่อบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ รวมทั้งต้องมีการปรับเปลี่ยนการทำการเกษตรจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยว ไปสู่การปลูกพืชในระบบเกษตร โดยนำแนวคิดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่ทรงพระราชทานคำว่า “พอเพียงกับคุณธรรม” เพื่อให้ประชาชนนำไปเป็นแนวทางในการพัฒนาตนเอง และแนวทางในการดำเนินงาน จะได้ไม่เกิดความขัดแย้งในพื้นที่ ที่สำคัญประชาชนต้องมีส่วนร่วม และได้รับประโยชน์จากการพัฒนาอย่างแท้จริง จะได้มีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า หากในอนาคตข้างหน้า เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นและมีการจัดระบบการเก็บภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ รัฐบาลก็จะมีรายได้และมีการลงทุนมากขึ้น และไม่จำเป็นต้องกู้ยืมเงินจำนวนมาก ที่ผ่านมา รัฐบาลได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยในส่วนของสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานและสิ่งจำเป็นในการประกอบอาชีพ อาทิ ถนน แหล่งน้ำเพื่อการเกษตร การอุปโภคบริโภค ซึ่งรัฐบาลกำลังปรับงบประมาณกลุ่มจังหวัด การค้าการลงทุนต้องให้มีความเชื่อมโยงทุกจังหวัดและไปสู่ภูมิภาค แต่ต้องมีการบูรณาการร่วมกัน

ขณะนี้ การเชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ เชิงวัฒนธรรม วิถีเชิงชุมชน และเชิงอัตตลักษณ์ มีชาวต่างชาตินิยมมาท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น จึงต้องสร้างชุมชนการผลิตให้ได้ โดยเฉพาะการเพาะปลูกด้านการเกษตรที่มีต้นทุนต่ำ ซึ่งท้องถิ่นและประชาชนต้องร่วมมือกันด้วย

จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปเป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภาคเหนือร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด ภาคเอกชน และผู้บริหารท้องถิ่นภาคเหนือ (Working Lunch) ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม

--------------------------

กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ