วันนี้ (1 ก.พ. 61) เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมด้วย นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมแถลงข่าวในงาน Meet the Press หัวข้อ “พูดคุยเก๋ไก๋ สไตล์รมต.” โดยมีมีสื่อมวลชนสาขาต่าง ๆ เข้าร่วมซักถาม
โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้กล่าวถึงการปฏิรูปกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาว่า ที่ผ่านมาได้เห็นถึงความพยายามที่จะให้มีการแยกการท่องเที่ยวกับกีฬาออกจากกัน ซึ่งหากจะแยกออกจากกันจริง ในส่วนของกระทรวงกีฬาคงสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ เพราะมีบุคลากรด้านกีฬาจำนวนมากรองรับ แต่ขณะที่ด้านการท่องเที่ยวนั้น กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ไม่เคยมีข้าราชการด้านการท่องเที่ยวมาก่อนเลย จึงมีคำถามแล้วจะตั้งกระทรวงท่องเที่ยวโดยมีใครเป็นข้าราชการในกระทรวง ซึ่งได้ส่งคำถามดังกล่าวนี้กลับไปให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยพิจารณาถึงความเป็นไปได้และความเหมาะสม รวมทั้งให้พิจารณาศึกษาถึงการดำเนินการด้านการท่องเที่ยวในหลายประเทศที่ไม่มีกระทรวงการท่องเที่ยวโดยตรงแต่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนนำความคิดเห็นของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมาประกอบการพิจารณาด้วย
สำหรับนโยบายการพัฒนาด้านกีฬานั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้กล่าวว่า เมื่อย้อนกลับไป 9 ปี การกีฬาแห่งประเทศไทย หางบประมาณสนับสนุนยากมากเนื่องจากขณะนั้นยังไม่มีไทยพรีเมียร์ลีก และไทยไฟท์ สมาคมต้องไปหาผู้สนับสนุนหรือสปอนเซอร์เอง แต่หลังจากวันนั้นตนเองและอดีตผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ได้ร่วมกันก่อตั้งไทยพรีเมียร์ลีกขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งตนเองถือเป็นรัฐมนตรีคนแรกที่เป็นผู้ไปมอบถ้วยไทยพรีเมียร์ลีกใบแรก หลังจากนั้นก็มีไทยไฟท์ และไทยพรีเมียร์ลีกไม่ต้องมาขอเงินสนับสนุนจากรัฐอีก เพราะสามารถหาเงินได้เองมากกว่าที่รัฐสนับสนุน ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดวัฒนธรรมกีฬาและวัฒนธรรมเพลงเชียร์แห่งชาติ ที่ส่งผลให้เกิดพัฒนาการของวงการกีฬาที่คนดูกีฬามีมากกว่าคนเล่นทำให้เกิดเศรษฐกิจกีฬา ซึ่งปัจจุบันได้มีเงินจากกองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติ ในการที่จะสนับสนุนด้านกีฬาแล้ว อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญในการพัฒนากีฬาขณะนี้ไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เป็นเรื่องของการมีธรรมาภิบาลที่ใช้ในการบริหารจัดการต่างๆ ทั้งเรื่องการบริหารเงิน บริหารงาน และทิศทางให้ถูกต้อง
พร้อมทั้ง ได้กล่าวถึงพระราชบัญญัติ และกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกีฬาว่า ในอดีตกฎหมายดังกล่าวกำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย แต่เมื่อมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องแล้วทำให้ปัจจุบัน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นรองประธานฯ ซึ่งถือเป็นรัฐวิสาหกิจแห่งเดียวในประเทศไทยที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ รวมถึง พ.ร.บ. การกีฬาแห่งประเทศไทย ซึ่งขณะนี้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้มีมติผ่านพระราชบัญญัตินโยบายการกีฬาแห่งชาติแล้ว โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติ และสนับสนุนด้านกีฬา ทั้งนี้การที่อำนาจต่าง ๆ ทั้งในเรื่องคน งานและงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับกีฬาไปรวมอยู่ที่นายกรัฐมนตรีเป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นกำลังใจสำหรับคนที่เกี่ยวข้องกับด้านกีฬา โดยสิ่งสำคัญที่จะต้องพัฒนาดำเนินการต่อจากนี้คือ การบริหารจัดการและการดำเนินการบนหลักธรรมาภิบาลเป็นสำคัญ
ส่วนความคืบหน้าเกี่ยวกับการเจรจาซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย กับสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ''ฟีฟ่า' นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวไม่ใช่หน้าที่ของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ โดยตรง แต่กระทรวงพร้อมให้ความร่วมมือและสนับสนุนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยขณะนี้ภาคธุรกิจเอกชนได้ร่วมมือกันเพื่อเจรจาประสานกับฟีฟ่าแล้ว ซึ่งระหว่างนี้ต้องรอผลการเจรจาและลงนามให้ได้ก่อน เพื่อไม่ให้ส่งกระทบต่อราคาและเงื่อนไขในการเจรจาดังกล่าว
พร้อมกันนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้กล่าวถึงการส่งเสริมเยาวชนเรื่องความเป็นเลิศทางกีฬาว่า “ช้างเผือกทางการกีฬา”หรือเด็กเยาวชนที่มีความสามารถทางด้านการกีฬามีจำนวนมาก แต่ยังหาไม่พบ เพราะฉะนั้นสมาคมกีฬาจังหวัดและสมาคมกีฬาแต่ละประเภท จึงต้องมีการส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนเหล่านั้นได้แสดงตัวออกมา เพื่อจะได้เตรียมความพร้อมและพัฒนาทักษะด้านกีฬาของเด็กและเยาวชนที่มีอายุตั้งแต่ 13 – 14 ปี ในระยะยาวอย่างน้อย 4 - 8 ปี แต่ทั้งนี้จะต้องมีการสนับสนุนส่งเสริมการศึกษาด้านวิชาการที่เหมาะสมควบคู่ไปด้วย เพื่อก้าวไปสู่การแข่งขันกีฬาในระดับชาติและโอลิมปิกต่อไป โดยในสัปดาห์หน้ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะไปชี้แจงร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งจะเป็นอีกก้าวหนึ่งที่สำคัญที่จะทำให้เด็กและเยาวชนที่กำลังจะจบการศึกษาระดับมัธยมปลายได้ไปต่อทั้งการเรียนและความสามารถด้านกีฬาในวิถีทางที่ครอบครัวสบายใจและตนเองชื่นชอบ
--------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th