สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561

ข่าวทั่วไป Friday February 23, 2018 11:38 —สำนักโฆษก

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับประชาชนผ่านรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ในวันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 20.15 น. ในประเด็นต่าง ๆ ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้

เนื่องในวันมาฆบูชา ซึ่งปีนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม รัฐบาลขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนคนไทยทุกคน พาลูก หลาน และคนในครอบครัว ร่วมใจกันปฏิบัติกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา ณ วัด หรือศาสนสถานในชุมชนใกล้บ้าน ด้วยการทำบุญ ตักบาตร เวียนเทียน ฟังพระธรรมเทศนา รักษาศีล เจริญจิตภาวนา เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา น้อมนำจิตใจให้ระลึกถึงคำสอนโอวาทปาฏิโมกข์ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประทานไว้ให้ชาวพุทธ อันเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา คือ การทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจบริสุทธิ์ เพื่อเสริมสร้างความร่มเย็นเป็นสุขให้แก่ตนเอง เป็นสิริมงคลแก่ครอบครัว และความรุ่งเรืองมาสู่สังคมประเทศชาติ ซึ่งเป็นการสืบสานพระพุทธศาสนาให้คงอยู่อย่างยั่งยืนตลอดไป

สำหรับการเข้าคูหาเลือกตั้งนั้น นายกรัฐมนตรีอยากให้พี่น้องประชาชน มีความรู้ หลักคิด และหลักการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีคุณภาพ หลีกเลี่ยงผู้สมัครรับเลือกตั้งที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม หรือพรรคที่มีนโยบายในลักษณะสัญญาว่าจะให้เพื่อดึงดูดใจ หรือขัดแย้งพันธกรณีต่างประเทศ เป็นต้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างการออกกฎหมายลูก 4 ฉบับ ที่จำเป็นต่อการเลือกตั้ง ประกอบด้วย 1) กฎหมายลูกว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง 2) กฎหมายลูกว่าด้วยพรรคการเมือง 3) กฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และ 4) กฎหมายลูกว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา และ 2 ฉบับท้าย อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ส่วนร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่คาดการณ์กันว่า น่าจะประกาศใช้ในเดือนมิถุนายนปีนี้ แล้วให้บังคับใช้ในอีก 90 วัน คือ เดือนกันยายน ในการเลือกตั้งอาจจะเกิดขึ้นในเดือนใดก็ได้ ภายใน 150 วันหลังจากนั้น ขึ้นอยู่กับความพร้อมของทุกฝ่าย ทั้งพรรคการเมือง ผู้สมัครรับเลือกตั้ง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ถือเป็นวาระสำคัญของชาติที่เป็นไปตาม Roadmap ประเทศ อย่างชัดเจนที่สุด เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนในจังหวัดนครปฐมและได้เยี่ยมเยียนโครงการต่างๆ ในพื้นที่ และแสดงความยินดีที่เห็นหลายโครงการประสบความสำเร็จ สามารถประยุกต์ใช้หรือนำหลักคิดทฤษฎีเกษตรต่าง ๆ ภายใต้ศาสตร์พระราชามาผสมผสานในการสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างความยั่งยืนให้กับอาชีพและรายได้ คือ ศูนย์การเรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) ต.แหลมบัว อ.นครชัยศรี ที่เป็นจุดเรียนรู้ด้านการเกษตร และเรียนรู้ของเกษตรกร รวมถึงประชาชนที่สนใจที่จะเรียนรู้จากเกษตรกรต้นแบบที่ทำอาชีพการเกษตรและประสบความสำเร็จ โดยได้เดินทางไปเยี่ยมชมแปลงนาบัวลุงแจ่ม สวัสดิ์โต ที่บ้านศาลาดิน ต. มหาสวัสดิ์ อ. พุทธมณฑล ซึ่งเป็นหนึ่งในที่ดินพระราชทานตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ตั้งแต่ปี 2518 เพื่อแก้ปัญหาเกษตรกรไม่มีที่ประกอบอาชีพ ซึ่งนับเป็นต้นแบบของการปฏิรูปที่ดินของประเทศไทย อีกทั้งยังพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงวิถีชีวิต สร้างผลิตภัณฑ์ชุมชนที่เป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่ บนพื้นฐานความต้องการและการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนทำให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในปัจจุบัน พร้อมทั้งกล่าวขอบคุณพี่น้องประชาชน ข้าราชการในพื้นที่และทุกภาคส่วนที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ให้ความเป็นกันเอง ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการช่วยให้นโยบายของรัฐสามารถทำได้อย่างตรงจุด

ในอนาคตการบริหารราชการแผ่นดินของประเทศไทย จะมียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนปฏิรูปประเทศประเด็นต่างๆ เป็นกรอบ ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ช่วงนี้อยู่ระหว่างการประชาสัมพันธ์เพื่อรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมจากทุกภาคส่วน ก่อนที่คณะกรรมการที่รับผิดชอบจะนำข้อเสนอแนะต่าง ๆ มาปรับปรุง แก้ไข และเพิ่มเติม แล้วเสนอให้คณะรัฐมนตรีทราบ และมีผลบังคับใช้ต่อไป รวมถึงการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร จะต้องมีการประเมินทุก ๆ 5 ปี คู่ขนานกับการปรับปรุงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 – 15

สำหรับการให้เพิ่มช่องทางสื่อสาร โดยเปิด Website และ Facebook ชื่อ “สายตรง ไทยนิยม” เพื่อรับคำร้องเรียน ร้องทุกข์ ข้อเสนอแนะ แสดงความคิดเห็น และใช้ในการกระจายข้อมูลข่าวสารจากภาครัฐ ข้อมูลสาธารณะประโยชน์ ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่อยู่ในความสนใจของประชาชนเป็นสำคัญ เสริมช่องทางเดิมที่มี ทั้งสายด่วน 1111 และ 1567 โทรฟรีทั่วไทย ตลอด 24 ชั่วโมง

สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ประกาศตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย ว่าในไตรมาสสุดท้ายของปี 2560 ขยายตัวจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้าที่ร้อยละ 4.0 โดยเป็นผลจากการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวต่อเนื่อง ในเกือบทุกหมวดสินค้า สอดคล้องกับความต้องการจากต่างประเทศที่ดีขึ้นและการท่องเที่ยวที่ขยายตัวดี โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีน รวมถึงการบริโภคในภาคเอกชนที่เร่งขึ้นจากรายได้นอกภาคเกษตร สำหรับภาคการผลิต จะเห็นว่าภาคอุตสาหกรรมขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะในหมวดการผลิตเพื่อการส่งออกที่ดีขึ้นต่อเนื่อง อีกทั้งด้านที่ขยายตัวได้ดีคือโรงแรมและภัตตาคาร จากนักท่องเที่ยว ทั้งประเทศไทย และต่างประเทศ ซึ่งก็ได้ส่งผลไปยังภาคขนส่ง และการคมนาคม อย่างไรก็ดี ภาคเกษตรในไตรมาสสุดท้าย ต้องประสบปัญหาฝนตกชุก และอุทกภัยในบางพื้นที่ จึงทำให้ในภาพรวมยังไม่ดีขึ้นเทียบเท่ากับภาคอื่น ๆ รวมถึงการบริหารจัดการน้ำที่รัฐบาลเร่งดำเนินการมาตลอด คาดว่าจะช่วยบรรเทาปัญหาของพี่น้องเกษตรกรได้ หากมองภาพรวมทั้งปี 2560 เศรษฐกิจไทยขยายตัวจาก ปี 2559 ที่ร้อยละ 3.9 หลัก ๆ มาจากการส่งออกสินค้า และภาคการท่องเที่ยวที่ปรับดีขึ้น สำหรับการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ก็ถือว่าฟื้นตัวต่อเนื่อง และในปี 2561 นี้ เศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง เพราะมีปัจจัยบวกจากการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า รวมถึงการลงทุนของภาคเอกชน ส่วนหนึ่งมาจากโครงการร่วมทุนของรัฐบาลและเอกชน

ในปี 2561 นี้ รัฐบาลมีแนวทางที่จะบริหารเศรษฐกิจ 4 ด้าน เพื่อเพิ่มความเข้มแข็งทางรายได้ให้กับพี่น้องประชาชน ประกอบด้วย การสนับสนุนการขยายตัวของการผลิตนอกภาคเกษตร ให้สามารถขยายตัวได้ต่อเนื่อง ทั้งภาคอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว การขับเคลื่อนการลงทุนภาครัฐ ทั้งในเรื่องการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และในพื้นที่เขตเศรษฐกิจต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน การดูแลพี่น้องเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย รวมถึง SMEs ผ่านโครงการต่าง ๆ เพื่อรองรับความผันผวนของดินฟ้าอากาศและการจัดการกับความเสี่ยงที่ผลผลิตจะเสียหาย และการเตรียมพร้อมด้านแรงงาน โดยยกระดับคุณภาพแรงงานให้เพียงพอเพื่อรองรับการขยายตัวของภาคการผลิตและการลงทุน นอกจากจะช่วยขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืนแล้ว ยังจะช่วยเป็นรากฐานที่เข้มแข็งในการสนับสนุนการปฏิรูปประเทศตามแผนงานและแผนยุทธศาสตร์ชาติในระยะต่อไปด้วย

.....................................................

กลุ่มประช่าสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ