วันนี้ (พฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม 2561) ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายอาบูล ฮัสซัน มามูด อาลี (Mr. Abul Hassan Mahmood Ali) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนาย Nasrul Hamid รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงไฟฟ้า พลังงาน และทรัพยากรธรณี ในโอกาสรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศบังกลาเทศได้รับเชิญเป็นประธานในพิธีการแต่งตั้งตำแหน่งศาสตราภิชาน (Bangabandhu Chair Professor) ประจำสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาพลังงานโดยเฉพาะพลังงานทดแทนและพลังงานยั่งยืน
นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศบังกลาเทศมาเยือนไทยในครั้งนี้เพื่อเป็นประธานในพิธีแต่งตั้งศาสตราภิชานประจำสถาบัน AIT เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาพลังงาน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทนำในด้านการส่งเสริมการวิจัยในสาขาพลังงาน และขอชื่นชมที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทยและบังกลาเทศบรรลุความสำเร็จในการลงนามความ ตกลงยกเว้นการตรวจลงตราผู้ถือหนังสือเดินทางทูต พร้อมกันนี้ยังกล่าวขอบคุณบังกลาเทศ ที่ได้มอบหมายให้นาย Mohammed Shahriar Alam รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศบังกลาเทศ เป็นผู้แทนพิเศษของประธานาธิบดีบังกลาเทศ ร่วมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2560
โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศบังกลาเทศกล่าวชื่นชมการพัฒนาของไทยว่า จากการได้มีโอกาสเดินทางมาเยือนไทยหลายครั้ง เห็นชัดถึงการเปลี่ยนแปลงที่ดีของประเทศไทยในหลายด้าน โดยเฉพาะความมีเสถียรภาพและความมั่นคงทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมของไทยภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี
ทั้งสองฝ่ายยังได้มีการหารือถึงความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวสนับสนุนการกำหนดเป้าหมายมูลค่าทางการค้า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2564 รวมทั้งความเป็นไปได้ในการจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-บังกลาเทศ นอกจากจะเป็นเครื่องมือส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการค้าดังกล่าว ยังจะมีช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างภาคเอกชนให้ใกล้ชิด ซึ่งเอกชนไทยเองตระหนักถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจของบังกลาเทศทั้งในฐานะตลาดใหญ่ในเอเชียใต้ที่มีจำนวนประชากรกว่า 160 ล้านคน มีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ และมีหลายสาขาที่มีศักยภาพ อาทิ สาขา สิ่งทอ เกษตรแปรรูป ก่อสร้าง ท่องเที่ยว และพลังงานทดแทน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศบังกลาเทศกล่าวเชิญชวนนักธุรกิจไทยไปลงทุนในด้านพลังงาน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการประมงน้ำลึก ซึ่งบังกลาเทศเห็นว่าไทยมีศักยภาพและต้องการเรียนรู้ประสบการณ์จากไทยด้วย
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึง ความสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย ภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0 และยุทธศาสตร์ Thailand +1 พร้อมชื่นชมนโยบายของรัฐบาลบังกลาเทศที่ต้องการยกระดับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในประเทศ โดยเฉพาะโครงการ Digital Park ซึ่งทั้งสองฝ่ายสามารถพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันได้
สำหรับความเชื่อมโยงในภูมิภาค ว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงสถานที่ตั้งของไทยที่อยู่ศูนย์กลางภูมิภาคอาเซียน และบังกลาเทศตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลางของอ่าวเบงกอล ทั้งสองฝ่ายมีบทบาท และสามารถใช้ประโยชน์จากความร่วมมือในกรอบต่าง ๆ ที่ทั้งสองชาติเป็นสมาชิก โดยเฉพาะ ACD และ BIMSTEC ในการเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคเอเชียใต้กับอาเซียน ไทยและบังกลาเทศเห็นพ้องถึงความสำคัญกับการจัดทำแผนแม่บทด้านความเชื่อมโยงภายใต้กรอบ BIMSTEC ในฐานะกรอบความร่วมมือหลักในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างเอเชียใต้กับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีที่บังกลาเทศจะรับตำแหน่งประธานองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) ในช่วงกลางปี 2561 ซึ่งไทยได้รับการสนับสนุนด้วยดีจากบังกลาเทศมาโดยตลอด โดยเฉพาะในประเด็นจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) ทั้งนี้ คณะผู้แทนถาวรประจำ OIC ได้เยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ - 1 มีนาคม 2561 ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีโดยคณะผู้แทนถาวรประจำ OIC ได้เห็นสภาพความเป็นจริงในพื้นที่และเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์และนโยบายของรัฐบาลไทยที่เน้น “การพัฒนา” มากกว่าการปราบปราบ ซึ่งได้รับการยอมรับจากคณะผู้แทนถาวรประจำ OIC ให้เป็นอีกหนึ่งต้นแบบของการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วย สำหรับแนวทางการ ผู้พลัดถิ่นชาวโรฮีนจา ที่ผ่านมาไทยให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้พลัดถิ่นชาวโรฮีนจามาโดยตลอด โดยเห็นว่าจะต้องมีความร่วมมือจากทุกฝ่าย ซึ่งไทยได้มอบเงินช่วยเหลือแก่บังกลาเทศและเมียนมา และพร้อมที่จะให้การสนับสนุนในด้านอื่น ๆ ต่อไป
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวเชื่อมั่นว่าการพูดคุยในวันนี้นำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมเพื่อยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างไทยและบังกลาเทศ เพื่อมุ่งไปสู่การยกระดับไปสู่เป็นประเทศที่มีรายได้สูงขึ้นตามเจตนารมณ์ของรัฐบาลทั้งสองประเทศ
ที่มา: http://www.thaigov.go.th