รัฐบาล เร่งปฏิรูปภาคการเกษตร โดยกระทรวงเกษตรฯ มีนโยบายการตลาดนำการผลิต เชื่อมั่นสามารถสร้างสมดุลทางการตลาด สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

ข่าวทั่วไป Thursday April 26, 2018 15:08 —สำนักโฆษก

กระทรวงเกษตรฯ มีนโยบายการตลาดนำการผลิต มีความเชื่อมั่นสามารถสร้างสมดุลทางการตลาด เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร อีกทั้งเชื่อมโยงภาครัฐและเอกชน เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

วันนี้ (26 เม.ย. 61) เวลา 13.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมกันแถลงข่าวในงาน Meet the Press หัวข้อ “ปฏิรูปภาคการเกษตร”

โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่างาน Meet the Press ในครั้งนี้ได้เชิญ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาแถลงถึงผลงานต่าง ๆ ที่อยู่ในระหว่างการดำเนินงานอยู่ในขณะนี้ ซึ่งประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่ฤดูการเพาะปลูกพืชทางการเกษตรและใกล้จะถึงวันพืชมงคล 14 พฤษภาคม 2561 อีกด้วย

โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในปี 2561 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กำหนดนโยบาย “การตลาดนำการผลิต” เป็นแนวคิดด้านการบริหารจัดการสินค้าเกษตรแบบใหม่ ในการวางแผนการผลิตให้อุปสงค์และอุปทานของสินค้าเกษตรเกิดความสมดุลกัน โดยสนับสนุนให้เกษตรกรดำเนินการเชื่อมโยงกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้ง ภาครัฐ และภาคเอกชน รวมทั้งสหกรณ์การเกษตร และผู้ค้า ส่งผลให้สามารถสร้างความเชื่อมโยงกับสหกรณ์ได้ 518 แห่ง กับภาคเอกชนอีก 109 แห่ง ห้างโมเดิร์นเทรด 30 แห่ง พร้อมส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศได้อีกกว่า 28 ประเทศ คิดเป็นมูลค่ากว่าหลายพันล้านบาท ซึ่งมีการดำเนินงานโครงการสำคัญกว่า 15 โครงการ อาทิ

1. ระบบส่งเสริมการเกษตรแปลงใหญ่ พื้นที่แปลงใหญ่ทั้ง 3.72 ล้านไร่ รวม 3,029 แปลง แบ่งเป็น พืช 2,786 แปลง ปศุสัตว์ 164 แปลง ประมง 52 แปลง แมลงเศรษฐกิจ 26 แปลง และอื่นๆ (นาเกลือ) 1 แปลง โดยมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 277,127 ราย ผลิตสินค้า 74 ชนิด เกษตรกรสามารถสร้างมูลค่าผลผลิตรวม 6,075 ล้านบาท ซึ่งมีการวางแผนการผลิตและการตลาดครบวงจรร่วมกับจังหวัด แบบกลไกประชารัฐ

2. เกษตรอินทรีย์ ด้วยการสนับสนุนเกษตรกรปลูกข้าวอินทรีย์ในพื้นที่ 120,000 ไร่ มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 36,149 ราย พื้นที่ 126,870 ไร่ ต้นทุนลดลง 169 บาทต่อไร่ ขายข้าวอินทรีย์ได้ราคาสูงกว่าข้าวทั่วไป ตันละ 2,000 - 8,000 บาท

3. ตลาดสินค้าเกษตร มีการจัดตลาดสินค้าเกษตรที่ตลาด อ.ต.ก. และ มินิ อ.ต.ก. ใน 38 จังหวัด มูลค่ารวมกว่า 400 ล้านบาท เป็นต้น

ในส่วนด้านการดำเนินงานที่สนับสนุนนโยบายไทยนิยม ยั่งยืน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดำเนินการ 2 แผนงาน 22 โครงการ ประกอบด้วย 1. แผนงานยุทธศาสตร์ปฏิรูปโครงสร้างการผลิตภาคการเกษตร มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนาศักยภาพการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด มีเป้าหมายพัฒนาเกษตรกรและสถาบันเกษตร 1.96 ล้านราย ให้มีความเข้มแข็ง มีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 และผลิตภาพภาคการเกษตรเพิ่มขึ้น 69,000 ล้านบาท โดยดำเนินการตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางของการผลิตภาคการเกษตร ซึ่งผลจากการดำเนินการตามแผนงานจะทำให้ สถาบันเกษตรกรได้รับประโยชน์ 344 กลุ่ม/สหกรณ์ และ 9,101 ชุมชน สามารถสร้างแหล่งน้ำ/ฝาย 2,937 แห่ง เกษตรกรได้รับประโยชน์ 891,396 ราย มีพื้นที่เกษตรได้รับประโยชน์ จำนวนกว่า 2 ล้านไร่ นอกจากนี้ ยังมีการอบรมเพื่อเพิ่มทักษะอาชีพให้เกษตรกรอีก 1.9 ล้านราย 2. แผนงานยุทธศาสตร์เสริมสร้างศักยภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เพื่อยกระดับสวัสดิการ ส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพ สร้างโอกาสในอาชีพและการจ้างงาน ส่งผลให้มีการจ้างงานเกษตรกร 7,520 ราย และเกษตรกรได้รับการอบรมสร้างทักษะอาชีพอีกกว่า 4 แสนราย

ขณะเดียวกัน คณะทำงานด้านการพัฒนาการเกษตรสมัยใหม่ (D6) ซึ่งเป็นกลไกร่วมกันระหว่างภาครัฐกับเอกชน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นหัวหน้าทีมภาครัฐ และนายอิสระ ว่องกุศลกิจ (บจก.น้ำตาลมิตรผล) เป็นหัวหน้าทีมภาคเอกชน โดยภาครัฐมีบทบาทสนับสนุนอำนวยความสะดวกตามภารกิจพื้นฐานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่วนภาคเอกชนมีบทบาทในการจัดหาตลาดและเพิ่มช่องทางการตลาดมากขึ้น มีความก้าวหน้าในการดำเนินงาน 2 ส่วน คือ

1. โครงการแปลงใหญ่ประชารัฐเกษตรสมัยใหม่ (ภาคเอกชน กรมส่งเสริมการเกษตร กรมการข้าว กรมประมง และกรมปศุสัตว์) ซึ่งปัจจุบันแปลงใหญ่ประชารัฐเกษตรสมัยใหม่ จำนวน 85 แปลง พื้นที่ 159,114 ไร่ สร้างมูลค่ารวม 631.50 ล้านบาท/ปี และ 2. การนำเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารมาพัฒนา Application เพื่อการเกษตร โดยคณะกรรมการพัฒนาเกษตรสมัยใหม่แบบดิจิทัลได้ออกแบบ Application for Smart Farmer 2 ส่วน คือ ด้านการให้ข่าวสารและความรู้แก่เกษตรกร ตลอดจนด้านการเชื่อมโยงผู้ซื้อและผู้ขายโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง

ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ ได้วางแผนการดำเนินงานและทิศทางในการขับเคลื่อนในระยะต่อไป 3 แผนงาน คือ แผนงาน 1. การขยายผลการดำเนินงานแปลงใหญ่ประชารัฐเกษตรสมัยใหม่ ให้มีความเชื่อมโยงกับการตลาดและเทคโนโลยีสมัยใหม่ และเชื่อมโยงกับโครงการ BOI ที่จะส่งเสริม SME ภาคเกษตร ที่เป็น Agri-Solution Provider รวมทั้งการขยายเครือข่ายภาคเอกชนรายใหม่ที่จะเข้ามาดำเนินการโครงการแปลงใหญ่ประชารัฐ แผนงาน 2 : พัฒนาอาชีพและยกระดับเป็นเกษตรแปลงใหญ่ ในการจัดที่ดินทำกินรวมทั้งได้ผ่านคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพ ภายใต้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ซึ่งมีแผนในการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพเกษตรกรในพื้นที่เป้าหมาย และ แผนงาน 3 : การพัฒนาเกษตรกรให้เป็น Smart Farmer ผ่านศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพสินค้าเกษตร (ศพก.) โดยมีแผนงานในการพัฒนา ศพก. ให้เป็นศูนย์เรียนรู้ผ่านระบบ IT เพื่อพัฒนาเกษตรกรเป็น Smart Farmer

ในตอนท้ายของการแถลงข่าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวทางในการแก้ไขปัญหาราคาผลผลิตสินค้าเกษตรตกต่ำ ได้เร่งลงพื้นที่ เพื่อรับทราบปัญหา ซึ่งพบ 3 ปัญหาหลัก ๆ คือ 1. ด้านทุน เกษตรกรขาดต้นทุนในการผลิต รวมถึงเงินทุน เครื่องมือ และที่ดินทรัพย์สิน ซึ่งเป็นปัญหาหลัก 2. ด้านความรู้เกี่ยวกับการเกษตร ยังใช้วิธีการเดิม ๆ ซึ่งปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลง เช่นด้านแรงงานการเกษตรมีลดน้องลง จำเป็นต้องเปลี่ยงแปลงเพื่อทันต่อสถานการณ์ และ 3. ด้านการตลาด เกษตรกรไทยมีความขยันอยู่แล้ว แต่ขายได้น้อยจำเป็นต้องขยายช่องทางการตลาดให้มากยิ่งขึ้นรวมถึงการตลาดด้านออนไลน์ และได้ย้ำว่าไม่มีนโยบายตัดต้นยางพาราทิ้ง แต่ตัดในส่วนที่อายุต้นเกิน 25 ปี แล้วปลูกทดแทนใหม่ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยสามารถผลิตยางพาราได้ 1.5 แสนล้านตันต่อปี เร่งสนับสนุนการปลูกพืชเสริมในสวนยางพารา โดยได้มีการรวมตัวจัดตั้งภาคียางระหว่างประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม เพื่อกำหนดทิศทางราคาตลาดร่วมกัน รวมถึงการนำไปใช้ในการสร้างถนน โดยกระทรวงคมนาคม (กรมทางทางหลวงชนบท) ทั้งนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินการศึกษาความคุ้มค่า ซึ่งสามารถใช้น้ำยางสดมาเป็นส่วนผสมในการทำถนนได้แล้ว คาดว่ายางจะราคาดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

..............................................................................

กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ