รมต.นร.กอบศักดิ์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ครั้งที่ 1/2561

ข่าวทั่วไป Sunday May 6, 2018 14:39 —สำนักโฆษก

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ครั้งที่ 1/2561 ซึ่งร่างแผนการปฏิรูปประเทศ 11 ด้าน แล้วเสร็จ พร้อมนำไปปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป

วันนี้ (4 พฤษภาคม 2561) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 521 ชั้น 2 อาคาร 5 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ถนนกรุงเกษม แขวงวัดโสมนัส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ครั้งที่ 1/2561 โดยที่ประชุมได้รับทราบและพิจารณาวาระที่สำคัญ ดังนี้

ที่ประชุมได้รับทราบ กลไกการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. 2560 ซึ่งประกอบด้วย ที่ประชุมร่วมกับประธานกรรมการปฏิรูปทุกคณะ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ได้แก่ คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการ และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศที่แต่งตั้งตามพระราชบัญญัติฯ จำนวน 11 คณะ หน่วยงานราชการ ได้แก่ สศช. ในฐานะฝ่ายเลขานุการกลาง และคณะทำงานพิเศษภายในสำนักงานปลัดกระทรวง ซึ่งทำหน้าที่ประสานงานเชื่อมโยงกับหน่วยงาน ภายในกระทรวง

ทั้งนี้ คณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศชุดนี้ จะทำหน้าที่ในการประสานงานกับคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยขจัดปัญหาหรืออุปสรรคต่าง ๆ ในการขับเคลื่อนภารกิจการปฏิรูปประเทศให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยยึดหลักการที่คณะรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีได้สั่งการไว้ คือการจัดลำดับกิจกรรมในประเด็นปฏิรูปด้านต่าง ๆ ที่สำคัญเร่งด่วน ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนในวงกว้าง แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของภาครัฐเป็นลำดับแรก และนำกิจกรรมปฏิรูปดังกล่าวมาขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป

อีกทั้ง ที่ประชุมได้รับทราบสรุปภาพรวม เป้าหมาย และผลอันพึงประสงค์ของแผนการปฏิรูปประเทศ ทั้ง 11ด้าน ที่ได้มีผลบังคับใช้ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2561 ทั้งนี้ การปฏิรูปประเทศ ทั้ง 11 ด้าน ประกอบด้วยประเด็นปฏิรูปรวม 133 ประเด็น โดยมี 482 กิจกรรม และครอบคลุมหน่วยงานภาครัฐเป็นจำนวนมาก ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามหลักการที่คณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ได้รับมอบหมายไว้ ที่ประชุมจึงได้พิจารณาและมีมติให้ความเห็นชอบการจัดลำดับความสำคัญ โดยแบ่งกิจกรรม/โครงการตามแผนการปฏิรูปตามความจำเป็นเร่งด่วน ออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่

          (1) กิจกรรม/โครงการที่สามารถดำเนินการได้ทันที (Quick-win) คือ กิจกรรม/โครงการที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน สามารถดำเนินการและเห็นผลเป็นรูปธรรมได้ในระยะเวลา 2-3 เดือน โดยรวมประมาณ 30 เรื่อง เพื่อกำหนดเป้าหมายให้คณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ได้ประสานงานกับหน่วยงานผู้รับผิดชอบ และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศในการผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป  (2) กิจกรรม/โครงการปฏิรูปที่สำคัญ (Flagship) คือ กิจกรรม/โครงการที่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อการปฏิรูปประเทศ โดยคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ทั้ง 11 คณะได้คัดเลือกไว้ด้านละประมาณ 10 กิจกรรม/โครงการ รวมประมาณ 110 กิจกรรม/โครงการ          (3) กิจกรรมการตามแผนการปฏิรูปประเทศอื่น ๆ กิจกรรม/โครงการนอกเหนือจากข้างต้น โดยกระทรวงและหน่วยงานต่าง ๆ อยู่ระหว่างการพิจารณาจัดทำความสอดคล้องและเชื่อมโยงระหว่างการดำเนินงานของหน่วยงานในช่วงที่ผ่านมาและแผนการดำเนินงานของหน่วยงานในระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2561 – 2565) กับแผนการปฏิรูปประเทศ และมีกำหนดส่งกลับ สศช. ภายในต้นเดือนมิถุนายน 2561 และ (4) กฎหมายที่ต้องจัดทำใหม่ ประมาณ 80 เรื่อง โดยคณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายเร่งด่วนจะเป็นผู้ดำเนินการในส่วนของกฎหมายที่ไม่มีเจ้าภาพดำเนินการอีกด้วย

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้หารืออย่างกว้างขวางของการจัดกลุ่มสำหรับการสร้างการรับรู้ (Theme) เพื่อจัดกลุ่มกิจกรรม/โครงการที่สามารถดำเนินการได้ทันที (Quick-win) และกิจกรรม/โครงการที่สำคัญ (Flagship) เป็นประเด็นที่ตอบความต้องการของประชาชน ยกระดับคุณภาพของการดำเนินชีวิตที่ดีของประชาชน เพื่อใช้ในการสร้างการรับรู้และขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศในกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ ได้แก่

1. ปฏิรูปราชการ เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชน โดยให้ประชาชนสามารถได้รับบริการจากรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ข้อมูลต่าง ๆ ของหน่วยงานภาครัฐจะเชื่อมโยงเข้าด้วยกันเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของประชาชนที่หลากหลาย โดยเฉพาะการให้ข้อมูลและความช่วยเหลือจากภาครัฐทั้งในกรณีปกติและกรณีฉุกเฉิน โดยไม่สร้างภาระให้แก่ประชาชนเกินความจำเป็น กระบวนการขออนุมัติ/อนุญาตจะได้รับการปรับปรุงเข้าสู่การจัดบริการแบบเบ็ดเสร็จผ่านช่องทางดิจิทัลและศูนย์บริการร่วม เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการให้บริการประชาชน

2. สร้างอนาคตคนไทย เพื่อปากท้องและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต การมีอาชีพแหล่งทำกินที่เหมาะสม พึ่งพาตนเองได้ รวมทั้ง การเพิ่มประสิทธิภาพอุตสาหกรรมหลักของประเทศ ได้แก่ อุตสาหกรรมเกษตร อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ และอุตสาหกรรมอาหาร รวมทั้งการสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ที่เป็นการต่อยอดจากฐานอุตสาหกรรมเดิม อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิคส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมสุขภาพ เป็นต้น

3. แก้ทุจริต สร้างความโปร่งใส เพื่อเป็นรากฐานการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ โดยการป้องกันและเฝ้าระวังการต่อต้านการทุจริตประพฤติมิชอบ โดยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม อาทิ โครงการ Watch Dog รวมทั้ง การป้องปราม การลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าพนักงานของรัฐ และเร่งรัดการดำเนินคดีการทุจริตมิชอบของ ป.ป.ช.

4. ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเสมอภาคและเท่าเทียม เพื่อสร้างสวัสดิการที่เหมาะสมให้เกิดขึ้นกับประชาชน และเป็นหลักประกันพร้อมสร้างความมั่นคงในการดำเนินชีวิตในช่วงวัยต่าง ๆ และส่งเสริมการออมเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม อีกทั้งมีการช่วยเหลือทางกฎหมายด้วยกองทุนยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน รวมทั้งการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับระบบภาษี และการถือครองทรัพย์สิน เพื่อให้เกิดการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรมมากขึ้น พร้อมทั้งลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม ตลอดจนประชาชนจะได้รับการดูแลด้านสาธารณสุขอย่างทั่วถึง ด้วยทีมหมอครอบครัวและหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

และ 5. สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจ และตระหนักถึงความสำคัญของวัฒนธรรมทางการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยเริ่มต้นตั้งแต่วัยเรียนที่จะต้องส่งเสริมให้เกิดโรงเรียนประชาธิปไตย รวมถึงการอยู่ร่วมกันในสังคมประชาธิปไตยโดยยอมรับในกฎ กติกา เสรีภาพส่วนบุคคลที่ต้องอยู่ร่วมกันบนความรับผิดชอบต่อสังคม และการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดในสังคมโดยสันติวิธี รวมถึงการกระจายอำนาจให้แก่ประชาชนทุกภาคส่วนและทุกระดับอย่างเสมอภาคกัน

ทั้งนี้ แผนการปฏิรูปประเทศ 11 ด้าน ประกอบด้วย

1. ด้านการเมือง ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รู้จักยอมรับความเห็นที่แตกต่าง พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมโดยเปิดเผยตรวจสอบได้ นักการเมืองปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองโดยสันติวิธี

2. ด้านการบริหารราชการ องค์กรภาครัฐเปิดกว้างและเชื่อมโยงข้อมูลกัน กะทัดรัดแต่แข็งแรง ทำงานเพื่อประชาชนโดยเชิงพื้นที่เป็นหลัก จัดระบบบริหารและบริการให้เป็นดิจิทัล จัดระบบบุคลากรให้มีมาตรฐานกลาง มีคุณธรรมและจริยธรรม และสร้างวัฒนธรรมต่อต้านการทุจริตอย่างชัดเจน โปร่งใส และตรวจสอบได้

3. ด้านกฎหมาย ให้กฎหมายดีและเป็นธรรมสอดคล้องกับหลักนิติธรรม เป็นเครื่องมือส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการกฎหมายอย่างเหมาะสม มีความรู้ความเข้าใจและสามารถเข้าถึงกฎหมายได้โดยง่าย พร้อมมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างถูกต้องและเป็นธรรม

4. ด้านยุติธรรม ให้ทุกขั้นตอนของการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ภาครัฐอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน โดยมีการกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน มีกลไกช่วยเหลือประชาชนโดยเสมอภาค บังคับการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด พัฒนาระบบสอบสวนคดีอาญาที่มีการตรวจสอบและถ่วงดุล ระบบนิติวิทยาศาสตร์มีมาตรฐาน และกระบวนการยุติธรรมมีประสิทธิภาพเอื้อต่อการแข่งขันของประเทศ

5. ด้านเศรษฐกิจ มีผลิตภาพและความสามารถในการแข่งขันในระดับประเทศสูงขึ้น มีการเติบโตอย่างครอบคลุมทุกภาคส่วนอย่างยั่งยืน มุ่งเน้นการใช้ระบบมาตรฐานและนวัตกรรมในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของประชาชน และสถาบันทางเศรษฐกิจมีสมรรถนะสูงขึ้นเทียบเท่าระดับสากล

6. ด้านทรัพยากรธรรมชาติฯ โดยทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับการรักษา ฟื้นฟูและยั่งยืนเป็นรากฐานในการพัฒนาประเทศ สร้างความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ ทั้งทรัพยากรทางบก (ป่าไม้และสัตว์ป่า ดิน แร่) ทางน้ำ ทางทะเลและชายฝั่ง ความหลากหลายทางชีวภาพ และสิ่งแวดล้อม

7. ด้านสาธารณสุข ระบบบริการปฐมภูมิมีความครอบคลุม ระบบสุขภาพของประเทศมีเอกภาพ กระจายอำนาจและความรับผิดชอบให้แต่ละพื้นที่ และประชาชนไทยมีสุขภาวะและคุณภาพชีวิตที่ดี ผู้ที่อาศัยในประเทศไทยมีโอกาสเท่าเทียมในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่จำเป็นอย่างเท่าเทียมกัน

8. ด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยี ดุลยภาพระหว่างเสรีภาพของการทำหน้าที่ของสื่อบนความรับผิดชอบกับการกำกับที่มีความชอบธรรม และการใช้พื้นที่ดิจิทัลเพื่อการสื่อสารอย่างมีจรรยาบรรณ การรับรู้ของประชาชน และสื่อเป็นโรงเรียนของสังคม ในการให้ความรู้แก่ประชาชน ปลูกฝังวัฒนธรรมของชาติ และปลูกฝังทัศนคติที่ดีอย่างทั่วถึง

9. ด้านสังคม คนไทยมีหลักประกันทางรายได้ที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปสู่การมีจิตสาธารณะเพิ่มขึ้น สังคมแห่งโอกาสและไม่แบ่งแยก ภาครัฐมีข้อมูลและสารสนเทศด้านสังคมที่บูรณาการ และให้ชุมชนท้องถิ่นมีความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจและสังคม สามารถบริหารจัดการชุมชนได้ด้วยตนเอง

10. ด้านพลังงาน ปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและการยอมรับของประชาชน ส่งเสริมด้านเทคโนโลยีและการมีส่วนร่วมของประชาชน ให้การบริหารจัดการด้านพลังงานด้วยหลักธรรมาภิบาล มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานพลังงาน และการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับด้านพลังงาน

และ 11. ด้านป้องกัน การทุจริตฯ มีมาตรการควบคุม กำกับ ติดตาม การบริหารจัดการของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน มีการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารภาครัฐสามารถเข้าถึงและตรวจสอบได้ ยกระดับการบังคับใช้มาตรการทางวินัย มาตรการทางปกครอง เพื่อให้ประเทศไทยปลอดทุจริต

สำหรับกลไกการทำงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ จะดำเนินการร่วมกับคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ คณะทำงานพิเศษระดับกระทรวง และหน่วยงานรับผิดชอบกิจกรรมการ/โครงการที่ได้จัดลำดับความสำคัญไว้ เพื่อขับเคลื่อน ประสานงาน ขจัดอุปสรรคในการดำเนินการ ให้กิจกรรม/โครงการสำเร็จ โดยเห็นผลเป็นรูปธรรม และเกิดผลประโยชน์ต่อประชาชนในการแก้จน แก้โกง แก้ความเหลื่อมล้ำ ปฏิรูประบบราชการและเพิ่มศักยภาพของประเทศ โดยประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างยั่งยืนต่อไป

....................................................................................

กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ