วันนี้ (7 พฤษภาคม 2561) เวลา 11.00 น. ณ หมู่บ้านท่าสว่าง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะ เยี่ยมชมหมู่บ้านทอผ้าไหมยกทองโบราณของบ้านจันทรโสมา บ้านท่าสว่าง พร้อมเยี่ยมชมผลงานของกลุ่มวิสาหกิจ กลุ่มแม่บ้านเกษตรปลูกหม่อนเลี้ยงไหม กลุ่มผู้สูงอายุ บ้านพญาราม และเยี่ยมชมผลงานของสหกรณ์เกษตรอินทรีย์ทัพไทย จำกัด บ้านทัพไทย ทั้งนี้ ทางจังหวัดได้นำช้างไทยแฝดเพศผู้คู่แรกของโลกชื่อ ทองคำกับทองแท่ง มาต้อนรับและมอบกระเช้าผักผลไม้ให้นายกรัฐมนตรี และแสดงการเล่นฮูลาฮูปให้ชม ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะเดินเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์บ้านท่าสว่าง และชุมชนโอทอป นวัตวิถี บ้านท่าสว่าง หมู่บ้านโอทอปเพื่อการท่องเที่ยว
สำหรับการทอผ้าไหมยกทองโบราณของบ้านจันทรโสมา บ้านท่าสว่าง เป็นผ้ายกทอชั้นสูง เป็นลายแบบราชสำนักไทยโบราณ ความโดดเด่นเป็นผ้าทอมือสร้างลายต่าง ๆ อย่างงดงาม ผ้าผืนหนึ่งใช้เวลาในการออกแบบลวดลาย เขียนแบบเก็บตะกอนาน 2 – 3 เดือน และใช้เวลาทอนาน 1 – 3 เดือน ต้องใช้ช่างทอประจำกี่แต่ละกี่ 4 คนขึ้นไป ค่อย ๆ ทอ ได้ 5 – 7 เซนติเมตรต่อวัน ผ้าไหมแต่ละผืนทอจากเส้นไหมที่ย้อมจากสีธรรมชาติ ยกเป็นลวดลายต่าง ๆ ตามจินตนาการ โดยในปี พ.ศ. 2546 รัฐบาลได้นำไปตัดเป็นเสื้อผ้าไหมให้ผู้นำต่างชาติ ที่เข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มเอเปกได้สวมใส่ นอกจากนั้นยังนำมาเป็นผ้าคลุมไหล่ถวายเป็นของขวัญที่ระลึกแก่พระราชอาคันตุกะนานาประเทศ ที่เสด็จพระราชดำเนินมาร่วมงานฉลองครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ส่งผลให้คนไทยทั้งประเทศและชาวต่างชาติได้ประจักษ์ถึงความงดงามของผ้ายกทอชั้นสูงหนึ่งเดียวในประเทศไทยจากฝีมือและภูมิปัญญาของชาวบ้านท่าสว่าง
ส่วนวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านเกษตรปลูกหม่อนเลี้ยงไหม กลุ่มผู้สูงอายุ บ้านพญาราม เป็นกลุ่มสมาชิกที่ดำเนินการปลูกหม่อน เลี้ยงไหม ทอผ้าจากเส้นไหมคุณภาพดี เส้นนุ่ม มันวาว รวมถึงแปรรูปผลิตภัณฑ์ด้านหม่อนไหมในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ สบู่ก้อนโปรตีนไหมผสมน้ำผึ้ง น้ำหม่อน โลชั่นโปรตีนไหม เซรั่มครีมโปรตีนไหม และการผลิตชามูลไหม ผลิตปุ๋ยมูลไหม เป็นต้น ทางด้านผลงานของสหกรณ์เกษตรอินทรีย์ทัพไทย จำกัด เป็นระบบการทำเกษตรอินทรีย์ที่ชาวบ้านทัพไทยช่วยกันทำเพื่อจะได้ไม่ต้องพึ่งพาการใช้ปุ๋ยและยาจากภายนอก สินค้าที่ออกมาจากกลุ่มสหกรณ์เกษตรอินทรีย์ทัพไทย จำกัด จึงเป็นสินค้าที่ปลอดจากสารเคมี 100 เปอร์เซ็นต์
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวระหว่างการเยี่ยมชมและกล่าวพบปะกับประชาชนที่มาให้การต้อนรับตอนหนึ่งว่า ในเมื่อบ้านเรามีของดีต้องสร้างเรื่องราว (Story) ให้ชัด สร้างจุดขาย เช่น ภูมิปัญญาท้องถิ่นนำมาสร้างนวัตกรรม พร้อมแนะให้บูรณาการด้านการขนส่ง ให้สามารถขายไปยังจังหวัดอื่นหรือต่างประเทศได้ และขอให้ใช้เทคโนโลยีรอบตัวให้เป็นประโยชน์ในการสร้างอาชีพสร้างรายได้ อย่าคิดทำแค่วันนี้ ต้องคิดให้ถึงอนาคต ปูทางไว้ให้ลูกหลานด้วย พร้อมขอให้ส่งเสริมเรื่องการตลาดนำการผลิต ผู้ประกอบการยุคใหม่ต้องศึกษาความต้องการตลาดด้วย เช่น การเพาะปลูกก็ไม่ควรปลูกซ้ำ ๆ กัน เพราะจะเป็นการแย่งกันขาย แย่งรายได้กันเอง
ภายหลังการเยี่ยมชมและพบปะกับประชาชน นายกรัฐมนตรีและคณะได้รับประทานอาหารกลางวันร่วมกับปราชญ์ชาวบ้านและผู้นำท้องถิ่น โดยผู้แทนเกษตรกรจากหมู่บ้านทัพไทยได้จัดข้าวอินทรีย์สายพันธุ์ที่มีชื่อเสียงและเป็นข้าวส่งออกของชุมชนจำนวน 4 สายพันธุ์ มาให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีร่วมรับประทานด้วย ได้แก่ ข้าวปะกาอำปึล ข้าวหอมมะลิ ข้าวผสม 5 สายพันธุ์ และข้าวกล้องมะลิแดง
-----------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th