วันนี้ (28 มิ.ย. 61) เวลา 15.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ 4/2561 สรุปสาระสำคัญดังนี้
ที่ประชุมรับทราบ ยาเพื่อประชาชน ซึ่งรัฐบาลมีความตั้งใจในการยกระดับคุณภาพชีวิตพี่น้องประชาชน จึงได้จัดทำโครงการยาเพื่อประชาชน เพื่อให้พี่น้องประชาชนสามารถเข้าถึงยาคุณภาพดี ราคาถูก โดยการส่งเสริมผู้ผลิตยาในประเทศไทย เนื่องจากหากซื้อจากต่างประเทศราคาจะแพงมาก
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบแนวทางการส่งเสริมผู้ผลิตยาในประเทศไทย และปรับระเบียบกรมบัญชีกลางเกี่ยวกับบัญชีนวัตกรรม เพื่อให้โรงพยาบาลสามารถซื้อยาที่มีคุณภาพ ราคาไม่แพงได้ โดยได้แยกยาและเวชภัณฑ์มิใช่ยา ออกจากบัญชีนวัตกรรมอื่นๆ และแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ ยาทั่วไป ยาชีววัตถุ และเวชภัณฑ์มิใช่ยา โดยให้หน่วยงานรัฐจัดซื้อโดยวิธีเฉพาะเจาะจงไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของเงินงบประมาณ ตามบัญชีรายการยานวัตกรรมของหน่วยงานนั้นๆ ซึ่งในเบื้องต้นกระทรวงสาธารสุขจะสามารถดำเนินการได้ทันทีใน 2 กลุ่ม คือ ยา และยาหรือผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ผลิตจากสิ่งมีชีวิต (ยาชีววัตถุ)
ในการนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกรมบัญชีกลางศึกษาแนวทางเพิ่มเติม เพื่อทบทวนหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ พ.ศ. 2560 และหลักเกณฑ์การประเมินค่าประสิทธิภาพต่อราคาอย่างรอบคอบ ก่อนนำไปสู่การปฏิบัติจริง รวมทั้งการควบคุมมาตรฐานกระบวนการผลิตยา และขณะเดียวกันมอบหมายกระทรวงพาณิชย์รวบรวม นำเสนอข้อมูลและปัญหาอุปสรรคของการดูแลเรื่องราคายาตามพระราชบัญญัติราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 พร้อมนำเสนอแนวทางการปรับปรุงให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายเสนอต่อที่ประชุม กขร. ต่อไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบ การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง (ผู้ป่วยติดเตียง) ซึ่งประเทศไทยกำลังเข้าสู่ช่วงการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ โดยปัจจุบันมีผู้สูงอายุคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 5 ของประชากรทั้งหมด และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ รัฐบาลจึงเตรียมแผนการรองรับทั้งภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติและการปฎิรูปประเทศ โดยเฉพาะการดูแลผู้สูงอายุติดบ้านติดเตียง ซึ่งต้องการผู้ดูแลเพิ่มเติมเป็นพิเศษ (นอกเหนือจากคนในครอบครัว) เพื่อให้การดำเนินการดูแลและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุดังกล่าว เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจัดให้มีการดูแลเพื่อป้องกัน แก้ไข ฟื้นฟูและพัฒนาสุขภาพทางร่างกายและจิตใจ อย่างเต็มประสิทธิภาพ
อีกทั้ง ที่ประชุมรับทราบ การจัดให้มีบริการหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉินแห่งชาติหมายเลขเดียว ผ่านโครงการจัดตั้งศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉินแห่งชาติ 191 เข้าถึงทุกเรื่อง เพื่อเป็นการบูรณาการหมายเลขฉุกเฉินให้เหลือหมายเลขเดียว ทำให้ประชาชนสามารถแจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย เหตุฉุกเฉินได้ทุกเรื่อง โดยประชาชนสามารถแจ้งเหตุได้หลายช่องทาง เช่น VDO Call Social Media Mobile App. SMS MMS พร้อมรองรับผู้แจ้งเหตุจากผู้พิการทางการได้ยินอีกด้วย เพื่อให้สามารถประสานงานกันได้อย่างรวดเร็ มีประสิทธิภาพ และบริการประชาชนได้อย่างรวดเร็วและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างการดำเนินการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและ จะนำเสนอ ครม. พิจารณาโดยเร็วต่อไป
....................................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th