วันนี้ (19 ก.ค. 2561) 17.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พบหารือกับ ดาโช เชริง โตบเกย์ นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรภูฏาน ณ สำนักนายกรัฐมนตรี โดยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
ในโอกาสแรก นายกรัฐมนตรีภูฏานได้แสดงความชื่นชมต่อ ความพยายาม ความร่วมมือร่วมใจ และความสำเร็จในการช่วยเหลือเยาวชน 13 รายที่ติดในถ้ำหลวง นับว่าเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ ที่ไทยสามารถเอาชนะอุปสรรคทั้งปวงจนช่วยเหลือออกมาได้อย่างปลอดภัย
ในการหารือนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีภูฏานต่างยินดีที่ทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างกัน ซึ่งใกล้ชิดทั้งในระดับราชวงศ์ที่มีการเยือนอย่างต่อเนื่อง ในระดับรัฐบาลที่มีความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด มีโครงการที่ประสบความสำเร็จ และเรียนรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์การพัฒนาประเทศระหว่างกัน และในระดับประชาชน ที่ยึดถือในสถาบันพระมหากษัตริย์เหมือนกันโดยเฉพาะความเชื่อมโยงทางพุทธศาสนา สังคม และวัฒนธรรม และเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งของทั้งสองประเทศจะพัฒนาไปอย่างมั่นคงและแข็งแกร่งต่อไป ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เสนอให้จัดทำ Roadmap โครงการความร่วมมือต่างๆ เพื่อให้เดินหน้าต่อไปได้ และเกิดความต่อเนื่อง รวมทั้งศึกษาศักยภาพที่จะร่วมมือกันทั้งรัฐบาล ภาคเอกชนและประชาชน โอกาสนี้ ผู้นำทั้งสองยังได้หยิบยกประเด็นเกี่ยวกับความร่วมมือทางวิชาการที่มีร่วมกัน อาทิ การเกษตร สาธารณสุข การศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยนายกรัฐมนตรีภูฏานเน้นย้ำให้ทั้งสองประเทศสานต่อความร่วมมือเหล่านี้กันต่อไป พร้อมขอบคุณประเทศไทยที่ให้การสนับสนุนภูฏาน โดยเฉพาะความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา ผ่านโครงการต่าง ๆ ด้วยดีตลอดมา
สำหรับความร่วมมือด้านการค้าการลงทุน ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องในการใช้กลไกการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย - ภูฏาน (JTC) เพื่อหารือแนวทางในการขยายมูลค่าการค้าระหว่างกันให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งภูฏานมีศักยภาพในสาขาการท่องเที่ยวและการก่อสร้าง และยินดีที่ปัจจุบันมีภาคเอกชนไทยเข้าไปลงทุนในภูฏานเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมและการก่อสร้าง ซึ่งภูฏานยินดีช่วยดูแลและอำนวยความสะดวกให้นักธุรกิจไทย รวมทั้ง การเชื่อมโยงทางการบิน เพื่อส่งเสริมการไปมาหาสู่กันทั้งในเมืองหลัก และต่อไปยังเมืองรอง ต่อเนื่องไปถึงการผลักดันการขับเคลื่อนความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกัน ภายใต้แนวคิด “Two Kingdoms One Destination” ซึ่งจะช่วยให้เกิดการเชื่อมโยงทางด้านการท่องเที่ยวซึ่งกันและกัน โดยเห็นว่าการท่องเที่ยวจะช่วยกระชับความสัมพันธ์และสามารถสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศได้
นอกจากนี้ ในโอกาสครบรอบความสัมพันธ์ทางการทูต 30 ปี ในปี 2562 รัฐบาลไทยยินดีสนับสนุนโครงการบริการทางการแพทย์เพื่อรักษา หู ตา จมูก และคอ รวมทั้งจัดตั้งศูนย์ หู จมูก และคอ ในราชอาณาจักรภูฏาน เพื่อให้บริการรักษา การถ่ายทอดความรู้ เทคนิคและวิชาการ เพื่อพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์เฉพาะทาง รวมถึงความร่วมมือของคณะแพทย์ ไทย-ภูฏาน ในการรักษาผู้ป่วยด้วย
ที่มา: http://www.thaigov.go.th