นายกรัฐมนตรี เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อแสดงความยินดีแก่กลุ่มเยาวชนยุวโฆษกที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นเยาวชนดีเด่นแห่งชาติสาขาสื่อมวลชนเพื่อเด็กและเยาวชนที่ป้องกันปัญหาสังคม ประจำปี 2550 รวมทั้งเยาวชนที่ได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวดวาดภาพในโครงการร้อยใจไทย ใต้ร่มเย็น และเยาวชนที่ได้รับรางวัลการประกวดภาพยนตร์สั้น เยาวชนวิทยาศาสตร์
วันนี้ เวลา 12.00 น. ณ ตึกสันติไมตรีหลังนอก ทำเนียบรัฐบาล พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อแสดงความยินดีแก่กลุ่มเยาวชนยุวโฆษกที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นเยาวชนดีเด่นแห่งชาติสาขาสื่อมวลชนเพื่อเด็กและเยาวชนที่ป้องกันปัญหาสังคม ประจำปี 2550 รวมทั้งเยาวชนที่ได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวดวาดภาพในโครงการร้อยใจไทย ใต้ร่มเย็น และเยาวชนที่ได้รับรางวัลการประกวดภาพยนตร์สั้น “เยาวชนวิทยาศาสตร์” จำนวน 63 คนพร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการผลงานและกิจกรรมของยุวโฆษก ผลงานวาดภาพ “ร้อยใจไทย ใต้ร่มเย็น” และผลงานสื่อภาพยนตร์สั้น เรื่อง “บ้านวิทยาศาสตร์”
นายไชยา ยิ้มวิไล โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวรายงานวัตถุประสงค์การจัดกิจกรรมดังกล่าวว่า เพื่อประกาศเกียรติคุณ ยกย่อง และเชิดชูเกียรติ แก่เยาวชนดีเด่นแห่งชาติและเยาวชนผู้มีผลงานดีเด่น ตลอดจนเสริมสร้างกำลังใจในการประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดีและสร้างสรรค์กิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อเยาวชนและสังคมต่อไป สำหรับเยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ ประกอบด้วย กลุ่มเยาวชน 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเยาวชนยุวโฆษก ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากคณะอนุกรรมการสรรหา และเชิดชูเยาวชนดีเด่นแห่งชาติและผู้ทำคุณประโยชน์ต่อเยาวชนให้เป็นกลุ่มเยาวชนดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2550 สาขาสื่อมวลชนเพื่อเด็กและเยาวชนที่ป้องกันปัญหาสังคม กลุ่มเยาวชนผู้ชนะการประกวดภาพยนตร์สั้น เยาวชนกับวิทยาศาสตร์ เรื่อง การเดินทางของเสียง จัดโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับสมาคมศูนย์ข่าวเยาวชนไทย และกลุ่มเยาวชนผู้ชนะการประกวดวาดภาพ “ร้อยใจไทย ใต้ร่มเย็น” จัดโดยกองทัพบกและสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5
โอกาสนี้ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความยินดีแก่เยาวชนดีเด่นแห่งชาติ และเยาวชนผู้มีผลงานดีเด่น ซึ่งในปีนี้คณะอนุกรรมการสรรหาและเชิดชูเยาวชนดีเด่นแห่งชาติ และผู้ทำคุณประโยชน์ต่อเยาวชน ได้พิจารณาคัดเลือกให้กลุ่มยุวโฆษกตามโครงการยุวโฆษกของ สำนักโฆษกเป็นกลุ่มเยาวชนดีเด่นแห่งชาติ สาขาสื่อมวลชน เพื่อเด็กและเยาวชนที่ป้องกันปัญหาสังคม ประจำปี 2550 และได้เข้ารับประทานเกียรติบัตรจากพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2550 ที่ผ่านมา รวมทั้งยังมีกลุ่มเยาวชนผู้ชนะการประกวดภาพยนตร์สั้น เพื่อรณรงค์ปัญหาโลกร้อน และกลุ่มเยาวชนผู้ชนะการประกวดวาดภาพ “ร้อยใจไทย ใต้ร่มเย็น” ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีเยาวชนไทยอีกจำนวนไม่น้อยที่มีความมหัศจรรย์ในตัวเอง ทั้งในด้านความรู้ และความสามารถ โดยได้ใช้ความรู้ความสามารถนั้นในทางที่สร้างสรรค์ เพื่อร่วมกันจรรโลงสังคมไทยทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ไม่ว่าจะเป็นการทำหน้าที่สนับสนุนงานประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลในรูปแบบต่างๆ ของยุวโฆษก หรือการถ่ายทอดเรื่องราวของวิทยาศาสตร์ใกล้ตัว รวมทั้งการส่งเสริมความรู้รักสามัคคีผ่านภาพยนตร์สั้นและภาพวาดศิลปะของนักเรียน นักศึกษา สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่มีคุณค่าที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องช่วยกันรักษาและส่งเสริมสนับสนุนให้ได้รับความสำเร็จก้าวหน้าต่อไป เพราะเยาวชนของชาติหากได้แสดงความรู้ ความสามารถ ในทางที่เหมาะสม รู้จักหน้าที่ และมีความรับผิดชอบในเชิงสร้างสรรค์ก็จะก่อให้เกิดผลดีต่อสังคมของเราสืบต่อไป นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีที่เยาวชนของเราได้รับการปลูกฝังให้มีจิตสำนึกที่เห็นประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าเห็นประโยชน์ของส่วนตน ทำให้เราได้ทำงานเพื่อส่วนรวม เพื่อชาติบ้านเมืองและเพื่อสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจ เนื่องจากปัญหาต่างๆ จะลดลงถ้าทุกคนได้ช่วยกันทำงานเพื่อส่วนรวมกันให้มากขึ้น จะส่งผลประเทศชาติสามารถก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงมากขึ้น
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ถ้าเราทุกคนมีจิตใจที่จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงงานอย่างหนักเพื่อประเทศชาติของเรา ซึ่งเนื้อความเพลงพ่อของแผ่นดินได้อธิบายเกี่ยวกับการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นส่วนที่มีความสำคัญต่อชาติบ้านเมืองที่เจริญมาได้จนถึงปัจจุบันก็เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นหลักชัย และเป็นผู้ชี้นำแสงสว่างให้กับบ้านเมืองมาโดยตลอด แม้ในยามบ้านเมืองวิกฤต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงพระราชทานแนวทางที่จะแก้ไขตลอดมา ส่วนในอนาคตข้างหน้านั้นพวกเราคนไทยทุกคนต้องช่วยกันร่วมมือกัน ทำสิ่งที่พระองค์ได้พระราชทานในหลายวาระ และหลายโอกาส ที่จะทำให้บ้านเมืองของเรามีความรักและสามัคคี คำว่า “รู้รักสามัคคี” เป็นสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานให้และอยากให้คนไทยทุก ๆ คน มีความรักและมีความสามัคคี โดยเฉพาะเยาวชนเพราะทุกคนยังมีเวลา มีโอกาส และมีพลังที่จะช่วยกันสร้างสรรค์สังคมของเราให้บรรลุเป้าหมายเหล่านั้นได้ในระยะเวลาที่ไม่นานในโอกาสข้างหน้า
สำหรับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ซึ่งถือเป็นการเลือกตั้งครั้งที่มีความสำคัญ ที่ผ่านมาคนไทยไม่ค่อยไปใช้สิทธิ และมีความตื่นตัวทางการเมืองน้อย โดยพูดกันว่าได้นักการเมืองที่ไม่มีคุณภาพ มีการใช้เงินซื้อสิทธิ ซื้อเสียง นายกรัฐมนตรีจึงฝากให้เยาวชนที่มีสิทธิเลือกตั้ง ทำหน้าที่สร้างความเข้าใจและรณรงค์เชิญชวนเพื่อน ๆ มาใช้สิทธิโดยพร้อมกัน โดยใช้รายการที่มีอยู่ทางสื่อให้เป็นประโยชน์ในการประชาสัมพันธ์ให้เยาวชนทุกคนได้มีความตื่นตัวออกมาใช้สิทธิให้มากขึ้น เพราะถ้าเรามีคนออกมาใช้สิทธิมาก การซื้อสิทธิและซื้อเสียงจะทำได้น้อยลง
พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าการที่บ้านเมืองจะเจริญก้าวหน้านั้นเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่จะต้องเลือกคนที่มีคุณภาพเข้ามาบริหารงานของบ้านเมือง เพราะปัญหาในเรื่องทางการเมืองทำให้ประเทศไทยพัฒนาช้าไปกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ประเทศมาเลเซีย และในช่วงเวลาที่ผ่านมาได้พยายามปรับปรุงในเรื่องของการบริหารมาโดยตลอด โดยปรับปรุงการบริหารตั้งแต่ระดับหมู่บ้านและชุมชนโดยให้ชุมชนบริหารงบประมาณและโครงการของตัวเอง ทั้งนี้ปัญหาคือการที่ผู้บริหารไม่ซื่อสัตย์ ตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน และระบบสหกรณ์มีความล้มเหลว ฉะนั้นถ้าเรามีวิธีการบริหารและทำตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ แต่เป็นเรื่องการบริหารในภาพรวมว่าเราจะต้องมีความซื่อสัตย์ และซื่อตรง รวมทั้งมีความรู้และแนวทางในการแก้ไขปัญหาบนพื้นฐานของความพอประมาณ และจะต้องมีภูมิคุ้มกันคือการบริหารความเสี่ยง ในปัจจุบันซึ่งถ้าเรานำปรัชญาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้ ทั้งในการบริหารตัวเราเอง หรือบริหารองค์กรและค่อย ๆขยายให้มากขึ้น โอกาสที่บ้านเมืองของเราจะมีการบริหารงานที่ดี และส่งผลให้สามารถเลือกผู้บริหารจากส่วนเหล่านี้ไปเป็นผู้บริหารงานของชาติบ้านเมืองต่อไปได้ในอนาคต โดยทุกคนคงจะต้องเป็นส่วนที่จะต้องสร้างฐานรากกันต่อไป ถ้าฐานรากดีแล้วยอดหรือส่วนบนสุดก็จะมีความแข็งแรงไม่โยกคลอนด้วย
จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวันและสนทนา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเยาวชนดังกล่าวในประเด็นต่าง ๆ อาทิ แนวทางการแก้ไขปัญหาภาคใต้ของรัฐบาล การออกพระราชบัญญัติด้านความมั่นคง การให้มหาวิทยาลัยออกนอกระบบ โดยในประเด็นการแก้ไขปัญหาภาคใต้ได้มีตัวแทนเยาวชน อาทิ นายทรงยศ อนันต์ธนพงศ์ นิสิตจากมหาวิทยาลัยทักษิณ ได้ถามนายกรัฐมนตรีว่า จากการที่นายกรัฐมนตรีได้ลงไปภาคใต้ จังหวัดสงขลา สถานการณ์ภาคใต้รุนแรงมาก รัฐบาลจะมีแนวทางการแก้ไข้ปัญหาอย่างไร
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สิ่งที่ถือเป็นเรื่องหลักคือการสร้างความเข้าใจ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา และได้พยายามที่จะดำเนินการโดยเฉพาะการทำความเข้าใจกับเยาวชน อาทิ โครงการสานใจไทย สู่ใจใต้ โดยนำเยาวชนจากภาคใต้ โดยเริ่มจำนวนประมาณ 60 คน ปัจจุบันเพิ่มมาเป็น รุ่นละจำนวน 200 กว่าคน เพื่อให้เยาวชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้มีโอกาสมาพบสังคมของประเทศไทยโดยส่วนรวม นอกจากนี้รัฐบาลนี้ได้ดำเนินการเรื่องการศึกษาให้กับเยาวชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้อยู่ในระดับมาตรฐานภายใต้แนวคิดในเรื่องของคุณธรรมนำความรู้ เพื่อสร้างคนที่มีคุณภาพที่จะสามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้
นายกรัฐมนตรีกล่าวในตอนท้ายเกี่ยวกับความลดความรุนแรงและการดูแลเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งส่งผลกระทบอย่างชัดเจนทำให้ครูซึ่งมีความรู้ไม่ต้องการไปทำงานที่นั้น เราจึงจำเป็นที่จะต้องหาบุคลากรที่มีความรู้และเป็นคนในท้องถิ่นที่จะกลับไปสอนให้กับเยาวชนได้ ทั้งนี้ในส่วนของทางการแพทย์และด้านสาธารณสุข ได้มีการเปิดอบรมพยาบาล จำนวน 3,000 คน ซึ่งรับจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อจะได้กลับไปทำงานในด้านสาธารณสุข ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมนี้นายกรัฐมนตรีได้มอบของที่ระลึกเป็นเข็มสัญลักษณ์ 80 พรรษา ฯ ให้แก่เยาวชนทั้ง 63 คน ด้วย
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
วันนี้ เวลา 12.00 น. ณ ตึกสันติไมตรีหลังนอก ทำเนียบรัฐบาล พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อแสดงความยินดีแก่กลุ่มเยาวชนยุวโฆษกที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นเยาวชนดีเด่นแห่งชาติสาขาสื่อมวลชนเพื่อเด็กและเยาวชนที่ป้องกันปัญหาสังคม ประจำปี 2550 รวมทั้งเยาวชนที่ได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวดวาดภาพในโครงการร้อยใจไทย ใต้ร่มเย็น และเยาวชนที่ได้รับรางวัลการประกวดภาพยนตร์สั้น “เยาวชนวิทยาศาสตร์” จำนวน 63 คนพร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการผลงานและกิจกรรมของยุวโฆษก ผลงานวาดภาพ “ร้อยใจไทย ใต้ร่มเย็น” และผลงานสื่อภาพยนตร์สั้น เรื่อง “บ้านวิทยาศาสตร์”
นายไชยา ยิ้มวิไล โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวรายงานวัตถุประสงค์การจัดกิจกรรมดังกล่าวว่า เพื่อประกาศเกียรติคุณ ยกย่อง และเชิดชูเกียรติ แก่เยาวชนดีเด่นแห่งชาติและเยาวชนผู้มีผลงานดีเด่น ตลอดจนเสริมสร้างกำลังใจในการประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดีและสร้างสรรค์กิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อเยาวชนและสังคมต่อไป สำหรับเยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ ประกอบด้วย กลุ่มเยาวชน 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเยาวชนยุวโฆษก ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากคณะอนุกรรมการสรรหา และเชิดชูเยาวชนดีเด่นแห่งชาติและผู้ทำคุณประโยชน์ต่อเยาวชนให้เป็นกลุ่มเยาวชนดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2550 สาขาสื่อมวลชนเพื่อเด็กและเยาวชนที่ป้องกันปัญหาสังคม กลุ่มเยาวชนผู้ชนะการประกวดภาพยนตร์สั้น เยาวชนกับวิทยาศาสตร์ เรื่อง การเดินทางของเสียง จัดโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับสมาคมศูนย์ข่าวเยาวชนไทย และกลุ่มเยาวชนผู้ชนะการประกวดวาดภาพ “ร้อยใจไทย ใต้ร่มเย็น” จัดโดยกองทัพบกและสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5
โอกาสนี้ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความยินดีแก่เยาวชนดีเด่นแห่งชาติ และเยาวชนผู้มีผลงานดีเด่น ซึ่งในปีนี้คณะอนุกรรมการสรรหาและเชิดชูเยาวชนดีเด่นแห่งชาติ และผู้ทำคุณประโยชน์ต่อเยาวชน ได้พิจารณาคัดเลือกให้กลุ่มยุวโฆษกตามโครงการยุวโฆษกของ สำนักโฆษกเป็นกลุ่มเยาวชนดีเด่นแห่งชาติ สาขาสื่อมวลชน เพื่อเด็กและเยาวชนที่ป้องกันปัญหาสังคม ประจำปี 2550 และได้เข้ารับประทานเกียรติบัตรจากพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2550 ที่ผ่านมา รวมทั้งยังมีกลุ่มเยาวชนผู้ชนะการประกวดภาพยนตร์สั้น เพื่อรณรงค์ปัญหาโลกร้อน และกลุ่มเยาวชนผู้ชนะการประกวดวาดภาพ “ร้อยใจไทย ใต้ร่มเย็น” ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีเยาวชนไทยอีกจำนวนไม่น้อยที่มีความมหัศจรรย์ในตัวเอง ทั้งในด้านความรู้ และความสามารถ โดยได้ใช้ความรู้ความสามารถนั้นในทางที่สร้างสรรค์ เพื่อร่วมกันจรรโลงสังคมไทยทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ไม่ว่าจะเป็นการทำหน้าที่สนับสนุนงานประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลในรูปแบบต่างๆ ของยุวโฆษก หรือการถ่ายทอดเรื่องราวของวิทยาศาสตร์ใกล้ตัว รวมทั้งการส่งเสริมความรู้รักสามัคคีผ่านภาพยนตร์สั้นและภาพวาดศิลปะของนักเรียน นักศึกษา สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่มีคุณค่าที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องช่วยกันรักษาและส่งเสริมสนับสนุนให้ได้รับความสำเร็จก้าวหน้าต่อไป เพราะเยาวชนของชาติหากได้แสดงความรู้ ความสามารถ ในทางที่เหมาะสม รู้จักหน้าที่ และมีความรับผิดชอบในเชิงสร้างสรรค์ก็จะก่อให้เกิดผลดีต่อสังคมของเราสืบต่อไป นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีที่เยาวชนของเราได้รับการปลูกฝังให้มีจิตสำนึกที่เห็นประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าเห็นประโยชน์ของส่วนตน ทำให้เราได้ทำงานเพื่อส่วนรวม เพื่อชาติบ้านเมืองและเพื่อสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจ เนื่องจากปัญหาต่างๆ จะลดลงถ้าทุกคนได้ช่วยกันทำงานเพื่อส่วนรวมกันให้มากขึ้น จะส่งผลประเทศชาติสามารถก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงมากขึ้น
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ถ้าเราทุกคนมีจิตใจที่จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงงานอย่างหนักเพื่อประเทศชาติของเรา ซึ่งเนื้อความเพลงพ่อของแผ่นดินได้อธิบายเกี่ยวกับการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นส่วนที่มีความสำคัญต่อชาติบ้านเมืองที่เจริญมาได้จนถึงปัจจุบันก็เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นหลักชัย และเป็นผู้ชี้นำแสงสว่างให้กับบ้านเมืองมาโดยตลอด แม้ในยามบ้านเมืองวิกฤต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงพระราชทานแนวทางที่จะแก้ไขตลอดมา ส่วนในอนาคตข้างหน้านั้นพวกเราคนไทยทุกคนต้องช่วยกันร่วมมือกัน ทำสิ่งที่พระองค์ได้พระราชทานในหลายวาระ และหลายโอกาส ที่จะทำให้บ้านเมืองของเรามีความรักและสามัคคี คำว่า “รู้รักสามัคคี” เป็นสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานให้และอยากให้คนไทยทุก ๆ คน มีความรักและมีความสามัคคี โดยเฉพาะเยาวชนเพราะทุกคนยังมีเวลา มีโอกาส และมีพลังที่จะช่วยกันสร้างสรรค์สังคมของเราให้บรรลุเป้าหมายเหล่านั้นได้ในระยะเวลาที่ไม่นานในโอกาสข้างหน้า
สำหรับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ซึ่งถือเป็นการเลือกตั้งครั้งที่มีความสำคัญ ที่ผ่านมาคนไทยไม่ค่อยไปใช้สิทธิ และมีความตื่นตัวทางการเมืองน้อย โดยพูดกันว่าได้นักการเมืองที่ไม่มีคุณภาพ มีการใช้เงินซื้อสิทธิ ซื้อเสียง นายกรัฐมนตรีจึงฝากให้เยาวชนที่มีสิทธิเลือกตั้ง ทำหน้าที่สร้างความเข้าใจและรณรงค์เชิญชวนเพื่อน ๆ มาใช้สิทธิโดยพร้อมกัน โดยใช้รายการที่มีอยู่ทางสื่อให้เป็นประโยชน์ในการประชาสัมพันธ์ให้เยาวชนทุกคนได้มีความตื่นตัวออกมาใช้สิทธิให้มากขึ้น เพราะถ้าเรามีคนออกมาใช้สิทธิมาก การซื้อสิทธิและซื้อเสียงจะทำได้น้อยลง
พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าการที่บ้านเมืองจะเจริญก้าวหน้านั้นเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่จะต้องเลือกคนที่มีคุณภาพเข้ามาบริหารงานของบ้านเมือง เพราะปัญหาในเรื่องทางการเมืองทำให้ประเทศไทยพัฒนาช้าไปกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ประเทศมาเลเซีย และในช่วงเวลาที่ผ่านมาได้พยายามปรับปรุงในเรื่องของการบริหารมาโดยตลอด โดยปรับปรุงการบริหารตั้งแต่ระดับหมู่บ้านและชุมชนโดยให้ชุมชนบริหารงบประมาณและโครงการของตัวเอง ทั้งนี้ปัญหาคือการที่ผู้บริหารไม่ซื่อสัตย์ ตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน และระบบสหกรณ์มีความล้มเหลว ฉะนั้นถ้าเรามีวิธีการบริหารและทำตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ แต่เป็นเรื่องการบริหารในภาพรวมว่าเราจะต้องมีความซื่อสัตย์ และซื่อตรง รวมทั้งมีความรู้และแนวทางในการแก้ไขปัญหาบนพื้นฐานของความพอประมาณ และจะต้องมีภูมิคุ้มกันคือการบริหารความเสี่ยง ในปัจจุบันซึ่งถ้าเรานำปรัชญาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้ ทั้งในการบริหารตัวเราเอง หรือบริหารองค์กรและค่อย ๆขยายให้มากขึ้น โอกาสที่บ้านเมืองของเราจะมีการบริหารงานที่ดี และส่งผลให้สามารถเลือกผู้บริหารจากส่วนเหล่านี้ไปเป็นผู้บริหารงานของชาติบ้านเมืองต่อไปได้ในอนาคต โดยทุกคนคงจะต้องเป็นส่วนที่จะต้องสร้างฐานรากกันต่อไป ถ้าฐานรากดีแล้วยอดหรือส่วนบนสุดก็จะมีความแข็งแรงไม่โยกคลอนด้วย
จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวันและสนทนา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเยาวชนดังกล่าวในประเด็นต่าง ๆ อาทิ แนวทางการแก้ไขปัญหาภาคใต้ของรัฐบาล การออกพระราชบัญญัติด้านความมั่นคง การให้มหาวิทยาลัยออกนอกระบบ โดยในประเด็นการแก้ไขปัญหาภาคใต้ได้มีตัวแทนเยาวชน อาทิ นายทรงยศ อนันต์ธนพงศ์ นิสิตจากมหาวิทยาลัยทักษิณ ได้ถามนายกรัฐมนตรีว่า จากการที่นายกรัฐมนตรีได้ลงไปภาคใต้ จังหวัดสงขลา สถานการณ์ภาคใต้รุนแรงมาก รัฐบาลจะมีแนวทางการแก้ไข้ปัญหาอย่างไร
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สิ่งที่ถือเป็นเรื่องหลักคือการสร้างความเข้าใจ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา และได้พยายามที่จะดำเนินการโดยเฉพาะการทำความเข้าใจกับเยาวชน อาทิ โครงการสานใจไทย สู่ใจใต้ โดยนำเยาวชนจากภาคใต้ โดยเริ่มจำนวนประมาณ 60 คน ปัจจุบันเพิ่มมาเป็น รุ่นละจำนวน 200 กว่าคน เพื่อให้เยาวชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้มีโอกาสมาพบสังคมของประเทศไทยโดยส่วนรวม นอกจากนี้รัฐบาลนี้ได้ดำเนินการเรื่องการศึกษาให้กับเยาวชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้อยู่ในระดับมาตรฐานภายใต้แนวคิดในเรื่องของคุณธรรมนำความรู้ เพื่อสร้างคนที่มีคุณภาพที่จะสามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้
นายกรัฐมนตรีกล่าวในตอนท้ายเกี่ยวกับความลดความรุนแรงและการดูแลเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งส่งผลกระทบอย่างชัดเจนทำให้ครูซึ่งมีความรู้ไม่ต้องการไปทำงานที่นั้น เราจึงจำเป็นที่จะต้องหาบุคลากรที่มีความรู้และเป็นคนในท้องถิ่นที่จะกลับไปสอนให้กับเยาวชนได้ ทั้งนี้ในส่วนของทางการแพทย์และด้านสาธารณสุข ได้มีการเปิดอบรมพยาบาล จำนวน 3,000 คน ซึ่งรับจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อจะได้กลับไปทำงานในด้านสาธารณสุข ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมนี้นายกรัฐมนตรีได้มอบของที่ระลึกเป็นเข็มสัญลักษณ์ 80 พรรษา ฯ ให้แก่เยาวชนทั้ง 63 คน ด้วย
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--