นายกรัฐมนตรีเปิดงานวันประชาชนร่วมใจต้านภัยหมอกควันและไฟป่า ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้ทุกคนช่วยกันรณรงค์ป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหมอกควันและไฟป่า ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการท่องเที่ยวของประเทศ
วันนี้ เวลา 09.20 น. พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เดินทางไปเป็นประธานในพิธีเปิดงานวันประชาชนร่วมใจต้านภัยหมอกควันและไฟป่า ณ บริเวณพื้นที่จัดงานมหกรรมพืชสวนโลก ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี ผู้ว่าราชการจังหวัด 9 จังหวัดภาคเหนือ พลังมวลชน กลุ่มอนุรักษ์ในพื้นที่ นักเรียน นักศึกษา ตำรวจ ทหาร ข้าราชการ และประชาชนเข้าร่วมงานกว่าหมื่นคน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบอุปกรณ์ดับไฟป่าให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด 9 จังหวัด ประกอบด้วย เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน แพร่ แม่ฮ่องสอน ตาก ลำพูน และลำปาง และผู้แทน อบจ. อบต. กำนันผู้ใหญ่บ้าน กลุ่มอาสาสมัครพิทักษ์ป่า กลุ่มอนุรักษ์นักดอยอินทนนท์ กลุ่มอนุรักษ์กลุ่มน้ำกวม พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้ร่วมกล่าวคำปฏิญาณว่า “ไม่เผาป่าและร่วมกันดับไฟป่า”
จากนั้น นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวรายงานสรุปว่า จากที่ได้เกิดวิกฤติปัญหาหมอควันไฟอย่างรุนแรงในท้องที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน และน่าน เมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้ ซึ่งก่อให้เกิดปัญหามลพิษทางอากาศ โดยมีค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง อยู่ในระดับเกินเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยสาเหตุของหมอกควันที่ลอยปกคลุมพื้นที่ดังกล่าวเกิดมาจากการเผาวัชพืช เศษวัสดุการเกษตร เพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูก และการจุดไฟเผาป่า ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ไฟป่าในปี 2551 และป้องกันการเกิดวิกฤติมลพิษหมอกควันไฟในอากาศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จึงได้จัดงานวันประชาร่วมใจต้านภัยหมอกควันและไฟป่า ขึ้น ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อฝึกซ้อมตามแผนระดมพลดับไฟป่า และเพื่อรณรงค์ประชาสัมพันธ์ ปลุกสร้างกระแสความตระหนักถึงภัยจากหมอกควันไฟและไฟป่า
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเปิดงานวันประชาชนร่วมใจต้านภัยหมอกควันและไฟป่าว่า ในช่วงปลายปีที่แล้วจนถึงต้นปีนี้ พื้นที่หลายจังหวัดในภาคเหนือประสบกับปัญหาหมอกควันและไฟป่า ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกาย และกระทบต่อเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว เพราะการท่องเที่ยวถือเป็นรายได้ที่สำคัญของไทย ดังนั้น ในปีนี้รัฐบาลได้มีแนวทางที่ชัดเจนในการดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวแต่เนิ่น ๆ โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชนที่จะช่วยกันป้องกันไม่ให้ปัญหาหมอกควันและไฟป่า เกิดขึ้นซ้ำซากจำเจทุก ๆ ปี รวมทั้งต้องตระหนักถึงความผันแปรของสภาพภูมิอากาศที่ทำให้เกิดสภาวะโลกร้อน ที่ทุกประเทศ และทั่วโลก จะต้องให้ความสำคัญและมีต้องมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นจะต้องมีการเตรียมการและจะต้องหาวิธีการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ที่เรามีอยู่ ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในทุก ๆ ด้าน ก็จะทำให้แก้ปัญหาได้ ถ้าหากว่าเราทุกคนให้ความสนใจ ให้ความร่วมมือ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ และต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องในทุกพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ในภาคเหนือเป็นพื้นที่ที่มีสภาพป่าที่ค่อนข้างสมบูรณ์มากที่สุดในประเทศ จึงจำเป็นที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันอนุรักษ์ ดูแลผืนป่า ให้มีความสมบูรณ์ ให้มีพื้นที่สีเขียว ซึ่งจะช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้มีน้อยที่สุด รวมทั้งลดภาวะโลกร้อน และก๊าซเรือนกระจก ลงไปได้
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ฝากผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้แทนทุกคนว่า จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะต้องไปเริ่มการรณรงค์ เริ่มการระดมความร่วมมือจากประชาชน เพื่อให้การดูแลสุขภาพของเรา ดูแลบ้านเมืองในระยะยาวต่อไปข้างหน้า และดูแลด้านเศรษฐกิจให้มีความเจริญตลอดไป หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ชมการสาธิตการระดมดับไฟป่า ภาคพื้นดินและภาคอากาศ
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
วันนี้ เวลา 09.20 น. พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เดินทางไปเป็นประธานในพิธีเปิดงานวันประชาชนร่วมใจต้านภัยหมอกควันและไฟป่า ณ บริเวณพื้นที่จัดงานมหกรรมพืชสวนโลก ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี ผู้ว่าราชการจังหวัด 9 จังหวัดภาคเหนือ พลังมวลชน กลุ่มอนุรักษ์ในพื้นที่ นักเรียน นักศึกษา ตำรวจ ทหาร ข้าราชการ และประชาชนเข้าร่วมงานกว่าหมื่นคน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบอุปกรณ์ดับไฟป่าให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด 9 จังหวัด ประกอบด้วย เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน แพร่ แม่ฮ่องสอน ตาก ลำพูน และลำปาง และผู้แทน อบจ. อบต. กำนันผู้ใหญ่บ้าน กลุ่มอาสาสมัครพิทักษ์ป่า กลุ่มอนุรักษ์นักดอยอินทนนท์ กลุ่มอนุรักษ์กลุ่มน้ำกวม พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้ร่วมกล่าวคำปฏิญาณว่า “ไม่เผาป่าและร่วมกันดับไฟป่า”
จากนั้น นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวรายงานสรุปว่า จากที่ได้เกิดวิกฤติปัญหาหมอควันไฟอย่างรุนแรงในท้องที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน และน่าน เมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้ ซึ่งก่อให้เกิดปัญหามลพิษทางอากาศ โดยมีค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง อยู่ในระดับเกินเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยสาเหตุของหมอกควันที่ลอยปกคลุมพื้นที่ดังกล่าวเกิดมาจากการเผาวัชพืช เศษวัสดุการเกษตร เพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูก และการจุดไฟเผาป่า ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ไฟป่าในปี 2551 และป้องกันการเกิดวิกฤติมลพิษหมอกควันไฟในอากาศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จึงได้จัดงานวันประชาร่วมใจต้านภัยหมอกควันและไฟป่า ขึ้น ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อฝึกซ้อมตามแผนระดมพลดับไฟป่า และเพื่อรณรงค์ประชาสัมพันธ์ ปลุกสร้างกระแสความตระหนักถึงภัยจากหมอกควันไฟและไฟป่า
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเปิดงานวันประชาชนร่วมใจต้านภัยหมอกควันและไฟป่าว่า ในช่วงปลายปีที่แล้วจนถึงต้นปีนี้ พื้นที่หลายจังหวัดในภาคเหนือประสบกับปัญหาหมอกควันและไฟป่า ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกาย และกระทบต่อเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว เพราะการท่องเที่ยวถือเป็นรายได้ที่สำคัญของไทย ดังนั้น ในปีนี้รัฐบาลได้มีแนวทางที่ชัดเจนในการดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวแต่เนิ่น ๆ โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชนที่จะช่วยกันป้องกันไม่ให้ปัญหาหมอกควันและไฟป่า เกิดขึ้นซ้ำซากจำเจทุก ๆ ปี รวมทั้งต้องตระหนักถึงความผันแปรของสภาพภูมิอากาศที่ทำให้เกิดสภาวะโลกร้อน ที่ทุกประเทศ และทั่วโลก จะต้องให้ความสำคัญและมีต้องมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นจะต้องมีการเตรียมการและจะต้องหาวิธีการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ที่เรามีอยู่ ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในทุก ๆ ด้าน ก็จะทำให้แก้ปัญหาได้ ถ้าหากว่าเราทุกคนให้ความสนใจ ให้ความร่วมมือ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ และต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องในทุกพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ในภาคเหนือเป็นพื้นที่ที่มีสภาพป่าที่ค่อนข้างสมบูรณ์มากที่สุดในประเทศ จึงจำเป็นที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันอนุรักษ์ ดูแลผืนป่า ให้มีความสมบูรณ์ ให้มีพื้นที่สีเขียว ซึ่งจะช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้มีน้อยที่สุด รวมทั้งลดภาวะโลกร้อน และก๊าซเรือนกระจก ลงไปได้
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ฝากผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้แทนทุกคนว่า จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะต้องไปเริ่มการรณรงค์ เริ่มการระดมความร่วมมือจากประชาชน เพื่อให้การดูแลสุขภาพของเรา ดูแลบ้านเมืองในระยะยาวต่อไปข้างหน้า และดูแลด้านเศรษฐกิจให้มีความเจริญตลอดไป หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ชมการสาธิตการระดมดับไฟป่า ภาคพื้นดินและภาคอากาศ
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--