นายกรัฐมนตรีระบุรัฐบาลมีหน้าที่ดูแลการเลือกตั้งให้เกิดความเป็นกลาง และต้องขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายช่วยกัน ส่วนการเปลี่ยนตัวประธาน ครส. หรือไม่ต้องรอ กกต. ชี้เรื่องเอกสารลับก่อน
เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีข่าวออกมาว่าคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนกรณีเอกสารลับแผนปฏิบัติการข่าวสารของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ระบุว่ามีเนื้อหาที่เข้าข่ายเจ้าหน้าที่รัฐวางตัวไม่เป็นกลางในการเลือกตั้ง เป็นไปได้หรือไม่ที่จะให้ผู้นำเหล่าทัพลาออกจาก คมช. ก่อน เพื่อให้เกิดความสบายใจกับทุกฝ่าย ว่า ตามแนวทาง คมช.จะพ้นจากตำแหน่งจากหน้าที่พร้อม ๆ กับรัฐบาล ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้น คงไม่ไปทำอะไรนอกเหนือไปจากนั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า หาก กกต. มีมติชี้ชัดว่ากองทัพวางตัวไม่เป็นกลาง รัฐบาลจะดำเนินการอย่างไรต่อไป นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องรอให้ กกต. ชี้มาก่อน จากนั้นจึงจะมาปรึกษาหารือกัน ขณะนี้เมื่อยังไม่มีเรื่องชี้มา ก็ยังไม่มีการดำเนินการ และก็ยังไม่มีการหารือกับพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้พูดมาหลายครั้งแล้วว่า รัฐบาลมีหน้าที่ที่ต้องดูแลให้เกิดความเป็นกลาง แต่การเลือกตั้งทุกครั้งอาจจะมีบางส่วน ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ และผู้ที่ทำผิดกฎหมายการเลือกตั้งอยู่เสมอ เราจำเป็นต้องคอยสอดส่อง ดูแลช่วยทาง กกต. เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้น จึงต้องขอความร่วมมือจากทุกฝ่าย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม โปร่งใส
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะแก้ปัญหาสิ่งที่เป็นจุดอ่อนได้อย่างไร โดยเฉพาะที่มีการพุ่งเป้าไปยังพลเอก สนธิฯ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงไม่ได้เป็นจุดอ่อน แต่เป็นเรื่องทางการเมืองที่มักจะหยิบยกเป็นประเด็นขึ้นมา ดังนั้น เราคงต้องยึดหลัก สุ จิ ปุ ลิ มาพิจารณาคือต้องฟัง คิด ถามและเขียน
ผู้สื่อข่าวถามว่า นอกจากพลเอก สนธิฯ แล้ว หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษก็ยังถูกพุ่งเป้าโจมตีด้วย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เคยอยู่หน่วยทหารนี้มารู้ว่ามีคนมากน้อยแค่ไหน และเป็นคนสั่งยุบกองพลรบพิเศษที่ 2 เอง ปัจจุบันแค่ทหารที่ลงไปทำงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ยังต้องหมุนเวียนกันก็เกือบไม่พออยู่แล้ว ดังนั้น งานในส่วนอื่นๆ ที่มีการพูดถึงน่าจะเป็นเรื่องของการกล่าวหาที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในฐานะที่เคยอยู่ในกองทัพ มองว่าวันนี้กองทัพมีความเป็นกลางแค่ไหน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โดยปกติการเลือกตั้งทุกครั้งก็มีทั้งผู้กล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหาเสมอ แต่คนที่จะชี้ขาดว่ากองทัพบกพร่องมีความผิดหรือไม่คือ กกต. ซึ่งนายกฯ ไม่มีหน้าที่ไปชี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดว่าการทำงานของพลเอก สนธิฯ เป็นไปตามที่พรรคการเมืองกล่าวหาหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อย่างที่บอกไปแล้วว่าไม่ได้มีหน้าที่เป็นผู้ตัดสิน ทั้งหมดอยู่ที่ กกต. ส่วนจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนตัวประธานคณะกรรมการดำเนินการตามวาระแห่งชาติว่าด้วยการรณรงค์และแก้ไขปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียง (ครส.) หรือไม่นั้น ขณะนี้ยังไม่มีการชี้ชัด ก็ต้องให้ความเป็นธรรม
ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าไม่สามารถยืนยันแทนกองทัพและพลเอก สนธิฯ ได้ใช่หรือไม่ว่าจะเป็นกลางในการเลือกตั้ง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คิดว่า พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ออกมาพูดในส่วนของกองทัพบกก็มีความชัดเจน เมื่อวานนี้ ( 29 พ.ย.) ทางผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ก็ได้ออกมาชี้แจงในส่วนของแต่ละกองทัพแล้ว ซึ่งคิดว่ามีความชัดเจน แต่เมื่อมีการกล่าวหาก็ต้องมีการชี้ชัดออกมาเพื่อให้เกิดความชัดเจน และเป็นหน้าที่ของ กกต.
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมไม่การันตี พลเอก สนธิฯ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พลเอก สนธิฯ ไม่ได้ทำหน้าที่อะไรนอกเหนือจากสิ่งที่รับผิดชอบ และขณะนี้ กกต. ก็ยังไม่ได้พูดถึงในส่วนนี้ เพียงแต่อาจจะมีในเรื่องของเอกสารก็ต้องรอผลการสอบสวนของ กกต.
ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่านายกรัฐมนตรีจะตัดสินใจตามที่ กกต. ชี้ชัดใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถูกต้อง
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะเชื่อตามที่ ผบ.ทบ.พูดหรือไม่ว่า หลังการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคม จะเกิดความวุ่นวายขึ้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เราคงจะต้องคอยดูกัน อย่าเพิ่งไปคิดว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ก็เชื่อในคำพูด แต่เหตุการณ์นั้นเราคงคาดการณ์ไม่ได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ทั้งนี้ ถ้าพวกเราช่วยกันที่จะทำให้เหตุการณ์เป็นไปด้วยความราบรื่นก็จะเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีข่าวออกมาว่าคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนกรณีเอกสารลับแผนปฏิบัติการข่าวสารของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ระบุว่ามีเนื้อหาที่เข้าข่ายเจ้าหน้าที่รัฐวางตัวไม่เป็นกลางในการเลือกตั้ง เป็นไปได้หรือไม่ที่จะให้ผู้นำเหล่าทัพลาออกจาก คมช. ก่อน เพื่อให้เกิดความสบายใจกับทุกฝ่าย ว่า ตามแนวทาง คมช.จะพ้นจากตำแหน่งจากหน้าที่พร้อม ๆ กับรัฐบาล ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้น คงไม่ไปทำอะไรนอกเหนือไปจากนั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า หาก กกต. มีมติชี้ชัดว่ากองทัพวางตัวไม่เป็นกลาง รัฐบาลจะดำเนินการอย่างไรต่อไป นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องรอให้ กกต. ชี้มาก่อน จากนั้นจึงจะมาปรึกษาหารือกัน ขณะนี้เมื่อยังไม่มีเรื่องชี้มา ก็ยังไม่มีการดำเนินการ และก็ยังไม่มีการหารือกับพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้พูดมาหลายครั้งแล้วว่า รัฐบาลมีหน้าที่ที่ต้องดูแลให้เกิดความเป็นกลาง แต่การเลือกตั้งทุกครั้งอาจจะมีบางส่วน ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ และผู้ที่ทำผิดกฎหมายการเลือกตั้งอยู่เสมอ เราจำเป็นต้องคอยสอดส่อง ดูแลช่วยทาง กกต. เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้น จึงต้องขอความร่วมมือจากทุกฝ่าย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม โปร่งใส
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะแก้ปัญหาสิ่งที่เป็นจุดอ่อนได้อย่างไร โดยเฉพาะที่มีการพุ่งเป้าไปยังพลเอก สนธิฯ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงไม่ได้เป็นจุดอ่อน แต่เป็นเรื่องทางการเมืองที่มักจะหยิบยกเป็นประเด็นขึ้นมา ดังนั้น เราคงต้องยึดหลัก สุ จิ ปุ ลิ มาพิจารณาคือต้องฟัง คิด ถามและเขียน
ผู้สื่อข่าวถามว่า นอกจากพลเอก สนธิฯ แล้ว หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษก็ยังถูกพุ่งเป้าโจมตีด้วย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เคยอยู่หน่วยทหารนี้มารู้ว่ามีคนมากน้อยแค่ไหน และเป็นคนสั่งยุบกองพลรบพิเศษที่ 2 เอง ปัจจุบันแค่ทหารที่ลงไปทำงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ยังต้องหมุนเวียนกันก็เกือบไม่พออยู่แล้ว ดังนั้น งานในส่วนอื่นๆ ที่มีการพูดถึงน่าจะเป็นเรื่องของการกล่าวหาที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในฐานะที่เคยอยู่ในกองทัพ มองว่าวันนี้กองทัพมีความเป็นกลางแค่ไหน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โดยปกติการเลือกตั้งทุกครั้งก็มีทั้งผู้กล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหาเสมอ แต่คนที่จะชี้ขาดว่ากองทัพบกพร่องมีความผิดหรือไม่คือ กกต. ซึ่งนายกฯ ไม่มีหน้าที่ไปชี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดว่าการทำงานของพลเอก สนธิฯ เป็นไปตามที่พรรคการเมืองกล่าวหาหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อย่างที่บอกไปแล้วว่าไม่ได้มีหน้าที่เป็นผู้ตัดสิน ทั้งหมดอยู่ที่ กกต. ส่วนจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนตัวประธานคณะกรรมการดำเนินการตามวาระแห่งชาติว่าด้วยการรณรงค์และแก้ไขปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียง (ครส.) หรือไม่นั้น ขณะนี้ยังไม่มีการชี้ชัด ก็ต้องให้ความเป็นธรรม
ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าไม่สามารถยืนยันแทนกองทัพและพลเอก สนธิฯ ได้ใช่หรือไม่ว่าจะเป็นกลางในการเลือกตั้ง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คิดว่า พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ออกมาพูดในส่วนของกองทัพบกก็มีความชัดเจน เมื่อวานนี้ ( 29 พ.ย.) ทางผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ก็ได้ออกมาชี้แจงในส่วนของแต่ละกองทัพแล้ว ซึ่งคิดว่ามีความชัดเจน แต่เมื่อมีการกล่าวหาก็ต้องมีการชี้ชัดออกมาเพื่อให้เกิดความชัดเจน และเป็นหน้าที่ของ กกต.
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมไม่การันตี พลเอก สนธิฯ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พลเอก สนธิฯ ไม่ได้ทำหน้าที่อะไรนอกเหนือจากสิ่งที่รับผิดชอบ และขณะนี้ กกต. ก็ยังไม่ได้พูดถึงในส่วนนี้ เพียงแต่อาจจะมีในเรื่องของเอกสารก็ต้องรอผลการสอบสวนของ กกต.
ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่านายกรัฐมนตรีจะตัดสินใจตามที่ กกต. ชี้ชัดใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถูกต้อง
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะเชื่อตามที่ ผบ.ทบ.พูดหรือไม่ว่า หลังการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคม จะเกิดความวุ่นวายขึ้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เราคงจะต้องคอยดูกัน อย่าเพิ่งไปคิดว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ก็เชื่อในคำพูด แต่เหตุการณ์นั้นเราคงคาดการณ์ไม่ได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ทั้งนี้ ถ้าพวกเราช่วยกันที่จะทำให้เหตุการณ์เป็นไปด้วยความราบรื่นก็จะเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--