นายไชยา ยิ้มวิไล โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปผลการเยือนบาห์เรนอย่างเป็นทางการของ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 10-12 ธันวาคม 2550 สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเดินทางไปเยือนบาห์เรนอย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของ Shaikh Khalifa bin Salman Al Khalifa นายกรัฐมนตรีบาห์เรน โดยมีนายนิตย์ พิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมคณะด้วย ซึ่งถือเป็นการเยือนต่างตอบแทนหลังจากนายกรัฐมนตรีบาห์เรนเสด็จเยือนไทยอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10-12 มกราคม 2550 พร้อมทั้งกระชับความสัมพันธ์ระดับผู้นำสูงสุด เพื่อผลักดันและเร่งรัดประเด็นความร่วมมือทวิภาคีที่มีผลประโยชน์ต่อไทย โดยเฉพาะความร่วมมือด้านพลังงาน ทั้งนี้ ยังเป็นการเฉลิมฉลองการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-บาห์เรนอีก ครบรอบ 30 ปี ในปีนี้ด้วย
ในวันที่ 11 ธันวาคม 2550 เวลา 11.00 น. ณ พระราชวัง Al Gudaibiya นายกรัฐมนตรีได้พบและหารือข้อราชการกับนายกรัฐมนตรีบาห์เรน โดยทรงมีพระราชดำรัสว่า ประเทศไทยเป็นมิตรประเทศสำคัญ และยินดีที่ทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงที่จะจัดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูงไทย-บาห์เรน ในช่วงต้นปี 2551 ในประเทศไทย เพื่อสานต่อความร่วมมือในสาขาต่างๆ ทั้งการศึกษา โดยบาห์เรนยินดีให้ความช่วยเหลือนักศึกษาไทยมุสลิมใน 3 จังหวัดภาคใต้มาศึกษาในบาห์เรน ในสาขาที่บาห์เรนมีความเชี่ยวชาญ อาทิ สาขาการธนาคารอิสลาม และสาขาการปิโตรเลียม ด้านเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะร่วมมือจัดตั้งสภาธุรกิจร่วมระหว่างทั้งสองประเทศ สำหรับความร่วมมือด้านพลังงานนั้น นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณที่บาห์เรนให้การสนับสนุนบริษัท ปตท.สผ. ในการสำรวจและผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในแปลงสำรวจนอกชายฝั่งที่ 2 และหวังที่จะได้มีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดต่อไป
นายกรัฐมนตรีบาห์เรนยังแสดงการสนับสนุนการดำเนินการของไทยในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และจะสนับสนุนไทยต่อไปในการสร้างความเข้าใจในเวทีองค์กรการประชุมอิสลาม (OIC)นายกรัฐมนตรีทั้งสองได้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันในสาขาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ (MOU on Enhancement of Mutual Cooperation in the Field of Oil and Gas) ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการสำรวจและผลิตน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติในบาห์เรนของ ปตท.สผ. รวมทั้งส่งเสริมการวิจัยและการแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญ ด้านพลังงานระหว่างกันต่อไป
เวลา 13.00 น. ณ พระราชวัง Al Sakhir นายกรัฐมนตรีได้เข้าเฝ้าฯ King Hamad bin Isa Al Khalifa สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งราชอาณาจักรบาห์เรน ด้วย โดยทรงตรัสถามถึงพระพลานามัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสถานการณ์ทั่วไปของไทย โดยนายกรัฐมนตรีได้ทูลฯ ให้ทราบถึงการเตรียมการสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปในประเทศไทย ต่อมา เวลา 18.30 น. ณ โรงแรม Ritz Carlton โรงแรมที่พัก นายกรัฐมนตรีพบปะชุมชนคนไทยในบาห์เรน โดยนายกรัฐมนตรียินดีที่ทราบว่าคนไทยในบาห์เรนกว่า 4,000 คน จากหลากหลายสาขาอาชีพได้รวมตัวกันอย่างเป็นปึกแผ่นและมีความห่วงใยต่อความเป็นมาในประเทศไทย รวมทั้งพระพลานามัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยร้อยละ 70 ได้ใช้สิทธิเลือกตั้งในต่างประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรี ยังได้พูดคุยกับชุมชนไทยเกี่ยวกับภารกิจสำคัญของรัฐบาลในช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมาในการนำประเทศผ่านพ้นวิกฤต รวมทั้งการจัดพระราชพิธีเนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมายุครบ 80 พรรษาด้วย
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเดินทางไปเยือนบาห์เรนอย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของ Shaikh Khalifa bin Salman Al Khalifa นายกรัฐมนตรีบาห์เรน โดยมีนายนิตย์ พิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมคณะด้วย ซึ่งถือเป็นการเยือนต่างตอบแทนหลังจากนายกรัฐมนตรีบาห์เรนเสด็จเยือนไทยอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10-12 มกราคม 2550 พร้อมทั้งกระชับความสัมพันธ์ระดับผู้นำสูงสุด เพื่อผลักดันและเร่งรัดประเด็นความร่วมมือทวิภาคีที่มีผลประโยชน์ต่อไทย โดยเฉพาะความร่วมมือด้านพลังงาน ทั้งนี้ ยังเป็นการเฉลิมฉลองการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-บาห์เรนอีก ครบรอบ 30 ปี ในปีนี้ด้วย
ในวันที่ 11 ธันวาคม 2550 เวลา 11.00 น. ณ พระราชวัง Al Gudaibiya นายกรัฐมนตรีได้พบและหารือข้อราชการกับนายกรัฐมนตรีบาห์เรน โดยทรงมีพระราชดำรัสว่า ประเทศไทยเป็นมิตรประเทศสำคัญ และยินดีที่ทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงที่จะจัดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูงไทย-บาห์เรน ในช่วงต้นปี 2551 ในประเทศไทย เพื่อสานต่อความร่วมมือในสาขาต่างๆ ทั้งการศึกษา โดยบาห์เรนยินดีให้ความช่วยเหลือนักศึกษาไทยมุสลิมใน 3 จังหวัดภาคใต้มาศึกษาในบาห์เรน ในสาขาที่บาห์เรนมีความเชี่ยวชาญ อาทิ สาขาการธนาคารอิสลาม และสาขาการปิโตรเลียม ด้านเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะร่วมมือจัดตั้งสภาธุรกิจร่วมระหว่างทั้งสองประเทศ สำหรับความร่วมมือด้านพลังงานนั้น นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณที่บาห์เรนให้การสนับสนุนบริษัท ปตท.สผ. ในการสำรวจและผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในแปลงสำรวจนอกชายฝั่งที่ 2 และหวังที่จะได้มีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดต่อไป
นายกรัฐมนตรีบาห์เรนยังแสดงการสนับสนุนการดำเนินการของไทยในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และจะสนับสนุนไทยต่อไปในการสร้างความเข้าใจในเวทีองค์กรการประชุมอิสลาม (OIC)นายกรัฐมนตรีทั้งสองได้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันในสาขาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ (MOU on Enhancement of Mutual Cooperation in the Field of Oil and Gas) ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการสำรวจและผลิตน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติในบาห์เรนของ ปตท.สผ. รวมทั้งส่งเสริมการวิจัยและการแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญ ด้านพลังงานระหว่างกันต่อไป
เวลา 13.00 น. ณ พระราชวัง Al Sakhir นายกรัฐมนตรีได้เข้าเฝ้าฯ King Hamad bin Isa Al Khalifa สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งราชอาณาจักรบาห์เรน ด้วย โดยทรงตรัสถามถึงพระพลานามัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสถานการณ์ทั่วไปของไทย โดยนายกรัฐมนตรีได้ทูลฯ ให้ทราบถึงการเตรียมการสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปในประเทศไทย ต่อมา เวลา 18.30 น. ณ โรงแรม Ritz Carlton โรงแรมที่พัก นายกรัฐมนตรีพบปะชุมชนคนไทยในบาห์เรน โดยนายกรัฐมนตรียินดีที่ทราบว่าคนไทยในบาห์เรนกว่า 4,000 คน จากหลากหลายสาขาอาชีพได้รวมตัวกันอย่างเป็นปึกแผ่นและมีความห่วงใยต่อความเป็นมาในประเทศไทย รวมทั้งพระพลานามัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยร้อยละ 70 ได้ใช้สิทธิเลือกตั้งในต่างประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรี ยังได้พูดคุยกับชุมชนไทยเกี่ยวกับภารกิจสำคัญของรัฐบาลในช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมาในการนำประเทศผ่านพ้นวิกฤต รวมทั้งการจัดพระราชพิธีเนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมายุครบ 80 พรรษาด้วย
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--