พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เป็นประธานเปิดการประชุมเวทีข้าวไทย ครั้งที่ 3 เรื่อง "ชาวนารุ่นใหม่ : นำข้าวไทยก้าวไกล" และปาฐกถาพิเศษ "นโยบายรัฐในการพัฒนาข้าวไทย"
วันนี้ เวลา 09.00 น.ณ ห้องประชุมสุธรรม อารีกุล อาคารสารนิเทศ 50 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กรุงเทพฯ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เป็นประธานเปิดการประชุมเวทีข้าวไทย ครั้งที่ 3 เรื่อง "ชาวนารุ่นใหม่ : นำข้าวไทยก้าวไกล" และปาฐกถาพิเศษ "นโยบายรัฐในการพัฒนาข้าวไทย" ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย เกษตรกรชาวนา นักวิชาการข้าว ผู้แทนองค์กรที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน ประมาณ 250 คน จัดโดย มูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรมการข้าว สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ทั้งนี้ เพื่อพิจารณาหารูปลักษณ์และคุณสมบัติที่เหมาะสมของชาวนารุ่นใหม่ และแนวทางที่จะทำให้องค์กรทุกภาคส่วนดำเนินงานร่วมกัน เพื่อสร้างจิตสำนึกและจูงใจให้เยาวชนหันมาสนใจในอาชีพทำนามากขึ้น
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเปิดการประชุมพร้อมปาฐกถาพิเศษในหัวข้อเรื่อง"นโยบายรัฐในการพัฒนาข้าวไทย" ว่า ในช่วงระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมารัฐบาลได้ชำระหนี้ในเรื่องของการรับจำนำข้าวเป็นเงินประมาณเกือบ 40,000 ล้านบาท เรียบร้อยแล้ว แต่ยังคงมีข้าวค้างอยู่ในสต๊อกอีกประมาณ 1 ล้านตัน เพื่อใช้ประกันสำหรับกรณีที่มีการขาดแคลนข้าว และมีความจำเป็นต้องส่งออก
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมักให้ความสำคัญในเรื่องของการผลิตและการตลาด มากกว่าการพัฒนาผู้ผลิตซึ่งคือเกษตรกร รัฐบาลจึงได้กำหนดนโยบายในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรแบบยั่งยืน โดยส่งเสริมให้เกษตรกรหรือชาวนามีรายได้ที่พอเพียง มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีศักดิ์ศรี มีเกียรติ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่สามารถพึ่งพาและแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง ขณะนี้ภาครัฐได้พยายามที่จะลดการแทรกแซงทางด้านการตลาด โดยกระตุ้นให้ราคาข้าวในตลาดสูงขึ้นพอสมควร เพื่อให้ชาวนาไม่ขาดทุน พอมีกำไรบ้างและทำให้ปริมาณข้าวที่อยู่ในสต๊อกลดลงด้วย
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า การเก็บรักษาคุณภาพของข้าวให้คงสภาพที่ดีได้นั้น ถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญยิ่ง จึงฝากให้กลุ่มวิชาการได้ร่วมกันหาวิธีว่าทำอย่างไรที่จะสามารถเก็บรักษาข้าวเปลือก และข้าวที่สีแล้วให้คงสภาพที่ดีไว้ได้นานข้ามปี เพราะหากทำได้ย่อมจะเป็นประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาการประกันราคาข้าว และเกิดผลดีต่อการส่งออก
เรื่องการตลาด นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ได้พยายามผลักดันให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในการกำหนดราคาข้าวที่มีคุณภาพรายสำคัญของโลก หากประสบผลสำเร็จ จะทำให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์ด้านการตลาดในอนาคต เพราะสามารถทราบราคาข้าวที่จะมีการซื้อขายล่วงหน้าได้ ซึ่งสอดคล้องกับการจัดสร้างศูนย์ศึกษาการพยากรณ์ทั้งสภาพลมฟ้าอากาศ ผลผลิต และการตลาด ที่ต่อเนื่องกัน
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเพิ่มค่าผลผลิตทางการเกษตรว่า จะต้องมีการพัฒนาระบบการบริหารจัดการให้ดีขึ้น มีการดูแลโดยการวิจัยเรื่องของพันธุ์ข้าว และที่สำคัญควรมีการจัดตั้งโรงเรียนสอนให้ชาวนาให้มีความรู้ในด้านการผลิตที่มีคุณภาพในทุก ๆ ขั้นตอนอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ผลผลิตมีคุณภาพที่ดี หากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันบูรณาการ ก็จะทำให้เกษตรกรมีความรู้ มีความสามารถ มีความภาคภูมิใจในฐานะที่เป็นผู้ผลิตข้าว มีอาชีพที่มั่นคง มีรายได้ที่พอเพียงสามารถดูแลตนเองและครอบครัวได้
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวยอมรับว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้พยายามดำเนินนโยบายในเรื่องของเกษตรกร การตลาด แต่ยังไม่เป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการประกันราคาพืชผล เรื่องการตลาดล่วงหน้า ซึ่งจำเป็นต้องมีการพัฒนาและได้รับการสนับสนุนอีกพอสมควร ส่วนเรื่องการพัฒนาพันธุ์ข้าวนั้น ยังคงต้องทำอย่างต่อเนื่องและพัฒนาต่อไป รวมทั้งเรื่องการเก็บรักษาพืชผลทางการเกษตรให้มีคุณภาพได้ยาวนานอีกด้วย
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
วันนี้ เวลา 09.00 น.ณ ห้องประชุมสุธรรม อารีกุล อาคารสารนิเทศ 50 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กรุงเทพฯ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เป็นประธานเปิดการประชุมเวทีข้าวไทย ครั้งที่ 3 เรื่อง "ชาวนารุ่นใหม่ : นำข้าวไทยก้าวไกล" และปาฐกถาพิเศษ "นโยบายรัฐในการพัฒนาข้าวไทย" ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย เกษตรกรชาวนา นักวิชาการข้าว ผู้แทนองค์กรที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน ประมาณ 250 คน จัดโดย มูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรมการข้าว สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ทั้งนี้ เพื่อพิจารณาหารูปลักษณ์และคุณสมบัติที่เหมาะสมของชาวนารุ่นใหม่ และแนวทางที่จะทำให้องค์กรทุกภาคส่วนดำเนินงานร่วมกัน เพื่อสร้างจิตสำนึกและจูงใจให้เยาวชนหันมาสนใจในอาชีพทำนามากขึ้น
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเปิดการประชุมพร้อมปาฐกถาพิเศษในหัวข้อเรื่อง"นโยบายรัฐในการพัฒนาข้าวไทย" ว่า ในช่วงระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมารัฐบาลได้ชำระหนี้ในเรื่องของการรับจำนำข้าวเป็นเงินประมาณเกือบ 40,000 ล้านบาท เรียบร้อยแล้ว แต่ยังคงมีข้าวค้างอยู่ในสต๊อกอีกประมาณ 1 ล้านตัน เพื่อใช้ประกันสำหรับกรณีที่มีการขาดแคลนข้าว และมีความจำเป็นต้องส่งออก
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมักให้ความสำคัญในเรื่องของการผลิตและการตลาด มากกว่าการพัฒนาผู้ผลิตซึ่งคือเกษตรกร รัฐบาลจึงได้กำหนดนโยบายในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรแบบยั่งยืน โดยส่งเสริมให้เกษตรกรหรือชาวนามีรายได้ที่พอเพียง มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีศักดิ์ศรี มีเกียรติ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่สามารถพึ่งพาและแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง ขณะนี้ภาครัฐได้พยายามที่จะลดการแทรกแซงทางด้านการตลาด โดยกระตุ้นให้ราคาข้าวในตลาดสูงขึ้นพอสมควร เพื่อให้ชาวนาไม่ขาดทุน พอมีกำไรบ้างและทำให้ปริมาณข้าวที่อยู่ในสต๊อกลดลงด้วย
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า การเก็บรักษาคุณภาพของข้าวให้คงสภาพที่ดีได้นั้น ถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญยิ่ง จึงฝากให้กลุ่มวิชาการได้ร่วมกันหาวิธีว่าทำอย่างไรที่จะสามารถเก็บรักษาข้าวเปลือก และข้าวที่สีแล้วให้คงสภาพที่ดีไว้ได้นานข้ามปี เพราะหากทำได้ย่อมจะเป็นประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาการประกันราคาข้าว และเกิดผลดีต่อการส่งออก
เรื่องการตลาด นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ได้พยายามผลักดันให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในการกำหนดราคาข้าวที่มีคุณภาพรายสำคัญของโลก หากประสบผลสำเร็จ จะทำให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์ด้านการตลาดในอนาคต เพราะสามารถทราบราคาข้าวที่จะมีการซื้อขายล่วงหน้าได้ ซึ่งสอดคล้องกับการจัดสร้างศูนย์ศึกษาการพยากรณ์ทั้งสภาพลมฟ้าอากาศ ผลผลิต และการตลาด ที่ต่อเนื่องกัน
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเพิ่มค่าผลผลิตทางการเกษตรว่า จะต้องมีการพัฒนาระบบการบริหารจัดการให้ดีขึ้น มีการดูแลโดยการวิจัยเรื่องของพันธุ์ข้าว และที่สำคัญควรมีการจัดตั้งโรงเรียนสอนให้ชาวนาให้มีความรู้ในด้านการผลิตที่มีคุณภาพในทุก ๆ ขั้นตอนอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ผลผลิตมีคุณภาพที่ดี หากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันบูรณาการ ก็จะทำให้เกษตรกรมีความรู้ มีความสามารถ มีความภาคภูมิใจในฐานะที่เป็นผู้ผลิตข้าว มีอาชีพที่มั่นคง มีรายได้ที่พอเพียงสามารถดูแลตนเองและครอบครัวได้
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวยอมรับว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้พยายามดำเนินนโยบายในเรื่องของเกษตรกร การตลาด แต่ยังไม่เป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการประกันราคาพืชผล เรื่องการตลาดล่วงหน้า ซึ่งจำเป็นต้องมีการพัฒนาและได้รับการสนับสนุนอีกพอสมควร ส่วนเรื่องการพัฒนาพันธุ์ข้าวนั้น ยังคงต้องทำอย่างต่อเนื่องและพัฒนาต่อไป รวมทั้งเรื่องการเก็บรักษาพืชผลทางการเกษตรให้มีคุณภาพได้ยาวนานอีกด้วย
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--