นายกรัฐมนตรีขอบคุณสื่อมวลชนที่ให้ความร่วมมือช่วยให้การทำงานผ่านห้วงวิกฤตมาได้ ย้ำทุกคนยอมรับผลการเลือกตั้งที่ออกมา และอยากเห็นชาติบ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อย เจริญก้าวหน้าต่อไป
วันนี้ เมื่อเวลา 15.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มาพบปะกับสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล ด้วยสียิ้มแย้มแจ่มใส ในชุดเสื้อพระราชทานสีชมพูสด
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับสื่อมวลชนว่า ในวันนี้ถือว่าเป็นโอกาสที่จะได้พูดคุยกับผู้สื่อข่าวก่อนที่จะขึ้นปีใหม่ ตลอดระยะเวลา 1 ปีกว่าที่ผ่านมา ต้องขอขอบคุณสื่อมวลชนทุกคนที่ได้ช่วยกันทำให้การทำงานของตนเองผ่านห้วงเวลาวิกฤตมาได้ ก็เข้าใจดีว่าทุกคนมีความปรารถนาดีกับตนและการทำงานของรัฐบาล แต่บางครั้งก็ต้องขออภัยที่ตอบคำถามสั้นไป หรือไม่ได้ตอบบ้าง เพราะบางเรื่องตอบไม่ได้ บางครั้งก็ไม่มีเวลาพอที่จะตอบ อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมแล้วคิดว่าได้รับการตอบรับจากสื่อมวลชนทุก ๆ ส่วนที่ทำงานในทำเนียบรัฐบาลด้วยความตรงไปตรงมา ยืนอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจซึ่งกันและกันว่าแต่ละส่วนต่างก็มีหน้าที่ ๆ จะต้องทำอะไรกันบ้าง
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ใน 1 ปีที่ผ่านมาก็มีทั้งช่วงที่อาจจะค่อนข้างวิกฤติ และช่วงที่อาจจะผ่อนคลายบ้าง ก็เป็นธรรมดาในการทำงานของรัฐบาล ซึ่งทุก ๆ รัฐบาลก็คงเป็นเช่นนี้ วันนี้จึงถือโอกาสขอบคุณสื่อมวลชนทุกคนที่ได้ให้ความร่วมมือและให้การสนับสนุนมาโดยตลอด ซึ่งก็มีความหวังเหมือนกับทุกคนว่าบ้านเมืองของเราคงจะผ่านพ้นห้วงเวลาวิกฤติไปได้ แต่ความหวังนั้นคงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุก ๆ คน รัฐบาลถือเป็นคนส่วนน้อย ถ้าหากไม่ได้รับความร่วมมือจากสื่อและประชาชน งานต่าง ๆ ก็ไม่มีทางสำเร็จ ก็ขอขอบคุณในความร่วมมือในการทำงานของเราตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่สุดอยากจะขออัญเชิญกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงขอให้พวกเรามีความรัก มีความสามัคคี ช่วยกันแก้ไขปัญหาบ้านเมืองไปปฏิบัติ เพื่อให้ทุกคนทำความดีถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำสิ่งที่ดีงาม และเป็นประโยชน์ตามที่มีพระราชดำรัสไว้
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากขอพรปีใหม่ได้จะขออะไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงไม่ต้องพูดอะไรมาก อย่างที่เคยพูดมาตลอด คือสิ่งที่เป็นความหวังและอยากเห็นถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด คืออยากเห็นชาติบ้านเมืองมีความสงบ เรียบร้อย มีความเจริญก้าวหน้า นั่นคือสิ่งที่มีความหวังและไม่เคยหมดหวัง
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับ พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน รองนายกรัฐมนตรี พลเอก บุญรอด สมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการเหล่าทัพในวันนี้ว่า เป็นการทานข้าวร่วมกัน และก็มีการอวยพรปีใหม่ให้กับตนเอง โดยเฉพาะในส่วนของผู้บัญชาการเหล่าทัพที่ผ่านมา ถ้าพูดกันตรง ๆ ไม่เคยได้คุยกันในเรื่องรายละเอียดของกองทัพ วันนี้ได้คุยกันถึงเรื่องการปรับปรุง กองทัพและการแก้ปัญหาในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ ก็ทำให้เกิดความมั่นใจ และขอเรียนกับสื่อมวลชนว่าทุก ๆ คนยอมรับในผลของการเลือกตั้ง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่บอกว่าทุกคนยอมรับผลการเลือกตั้ง แสดงว่าทุกคนพร้อมยุติที่จะเปิดศึกพรรคพลังประชาชนใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงไม่ใช่การเปิดศึก เมื่อตนพูดว่าทุกคนยอมรับในผลการเลือกตั้งก็เป็นส่วนหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าในความรู้สึกส่วนตัวของแต่ละคนนั้น ยอมรับในการตัดสินใจของประชาชน หมายถึงว่าเราปฏิบัติตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย และคงไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่านั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อพรรคพลังประชาชนเข้ามาเป็นรัฐบาลคิดว่าสถานะของกองทัพจะเป็นอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ใส่เสื้อสีชมพู ก็หวังในสิ่งที่ดีงาม มีความหวังที่สดใส ซึ่งเป็นสิ่งที่หวังไว้ อย่างที่พูดเสมอว่า ตนเองไม่ได้มองอะไรในแง่ร้าย มองโลกในแง่ดี ดังนั้น เราอย่าเพิ่งไปคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น คิดว่า น่าจะเป็นความร่วมมือทำงานร่วมกันที่จะทำให้เกิดความสงบเรียบร้อยขึ้นในบ้านเมือง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ตอนเข้ามารัฐบาลได้รับดอกไม้จากประชาชน คิดว่าตอนออกไปจะได้รับดอกไม้หรือก้อนอิฐ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงรอให้ถึงเวลานั้นว่าจะได้รับก้อนหินหรือดอกไม้ ส่วน 1 ปีที่ผ่านมาได้รับความบอบช้ำมากหรือไม่ คงไม่ได้บอบช้ำอะไร เพราะรู้สึกว่าไม่มีอะไรบุบเลย ไม่มีรอยเขียวเป็นจ้ำๆ มีเพียงโดน ตัวต่อต่อยเอาหน่อยเท่านั้น ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้นเลย ที่เจ็บจริงๆ ก็มีแค่นั้น ซึ่งการที่เข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่ได้มีความคิดที่อยากจะมาทำ แต่รับเพราะว่าไม่มีทางออกทางอื่น และไม่ได้มีการเลือกคนอื่นเข้ามาทำ เขาไว้วางใจตนเอง น่าที่จะให้มาช่วยแก้ปัญหาของบ้านเมืองได้ นั่นคือสิ่งที่ได้รับมาทำ เพราะฉะนั้น สิ่งที่คิดคือช่วยแก้ปัญหาบ้านเมือง ไม่ได้คิดว่าจะคุ้มหรือไม่คุ้ม สำหรับชาติบ้านเมือง เพราะได้รับ การอบรมสั่งสอนมาตลอดเวลาว่า แม้กระทั่งชีวิตก็สละให้ได้ เพราะฉะนั้น ไม่มีคำว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม ส่วนใครจะบอบช้ำบ้างนั้นไม่ทราบ และไม่ได้ไปสำรวจว่าใครจะมีรอยฟกช้ำบ้าง
ผู้สื่อข่าวถามว่า พลเอก สนธิฯ บอบช้ำมากหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เห็นพลเอก สนธิฯ ยิ้มแย้มดี พูดคุยอะไรก็ไม่เห็นว่ามีปัญหา เพราะฉะนั้น คิดว่าไม่ได้บอบช้ำอะไรมากมาย อาจจะมีความกังวลบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงช่วงเทศกาลปีใหม่ว่า จะอยู่โยงไม่ไปไหน คงจะไปๆมาๆ เพื่อให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ต้องดูแลเรื่องความสงบเรียบร้อย คงไม่ไปเคาท์ดาวน์ที่ไหน เพราะถ้าไปแล้วอาจจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาในเรื่องการดูแลความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ที่ต้องทำงานเพิ่มมากขึ้น ไม่ควรจะเป็นภาระ
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้อวยพรปีใหม่ให้กับสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล พร้อมมอบของขวัญเป็นแก้วน้ำและหนังสือภาพถ่ายฝีพระหัตถ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “ในร่มเงาสระปทุม”
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
วันนี้ เมื่อเวลา 15.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มาพบปะกับสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล ด้วยสียิ้มแย้มแจ่มใส ในชุดเสื้อพระราชทานสีชมพูสด
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับสื่อมวลชนว่า ในวันนี้ถือว่าเป็นโอกาสที่จะได้พูดคุยกับผู้สื่อข่าวก่อนที่จะขึ้นปีใหม่ ตลอดระยะเวลา 1 ปีกว่าที่ผ่านมา ต้องขอขอบคุณสื่อมวลชนทุกคนที่ได้ช่วยกันทำให้การทำงานของตนเองผ่านห้วงเวลาวิกฤตมาได้ ก็เข้าใจดีว่าทุกคนมีความปรารถนาดีกับตนและการทำงานของรัฐบาล แต่บางครั้งก็ต้องขออภัยที่ตอบคำถามสั้นไป หรือไม่ได้ตอบบ้าง เพราะบางเรื่องตอบไม่ได้ บางครั้งก็ไม่มีเวลาพอที่จะตอบ อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมแล้วคิดว่าได้รับการตอบรับจากสื่อมวลชนทุก ๆ ส่วนที่ทำงานในทำเนียบรัฐบาลด้วยความตรงไปตรงมา ยืนอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจซึ่งกันและกันว่าแต่ละส่วนต่างก็มีหน้าที่ ๆ จะต้องทำอะไรกันบ้าง
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ใน 1 ปีที่ผ่านมาก็มีทั้งช่วงที่อาจจะค่อนข้างวิกฤติ และช่วงที่อาจจะผ่อนคลายบ้าง ก็เป็นธรรมดาในการทำงานของรัฐบาล ซึ่งทุก ๆ รัฐบาลก็คงเป็นเช่นนี้ วันนี้จึงถือโอกาสขอบคุณสื่อมวลชนทุกคนที่ได้ให้ความร่วมมือและให้การสนับสนุนมาโดยตลอด ซึ่งก็มีความหวังเหมือนกับทุกคนว่าบ้านเมืองของเราคงจะผ่านพ้นห้วงเวลาวิกฤติไปได้ แต่ความหวังนั้นคงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุก ๆ คน รัฐบาลถือเป็นคนส่วนน้อย ถ้าหากไม่ได้รับความร่วมมือจากสื่อและประชาชน งานต่าง ๆ ก็ไม่มีทางสำเร็จ ก็ขอขอบคุณในความร่วมมือในการทำงานของเราตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่สุดอยากจะขออัญเชิญกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงขอให้พวกเรามีความรัก มีความสามัคคี ช่วยกันแก้ไขปัญหาบ้านเมืองไปปฏิบัติ เพื่อให้ทุกคนทำความดีถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำสิ่งที่ดีงาม และเป็นประโยชน์ตามที่มีพระราชดำรัสไว้
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากขอพรปีใหม่ได้จะขออะไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงไม่ต้องพูดอะไรมาก อย่างที่เคยพูดมาตลอด คือสิ่งที่เป็นความหวังและอยากเห็นถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด คืออยากเห็นชาติบ้านเมืองมีความสงบ เรียบร้อย มีความเจริญก้าวหน้า นั่นคือสิ่งที่มีความหวังและไม่เคยหมดหวัง
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับ พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน รองนายกรัฐมนตรี พลเอก บุญรอด สมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการเหล่าทัพในวันนี้ว่า เป็นการทานข้าวร่วมกัน และก็มีการอวยพรปีใหม่ให้กับตนเอง โดยเฉพาะในส่วนของผู้บัญชาการเหล่าทัพที่ผ่านมา ถ้าพูดกันตรง ๆ ไม่เคยได้คุยกันในเรื่องรายละเอียดของกองทัพ วันนี้ได้คุยกันถึงเรื่องการปรับปรุง กองทัพและการแก้ปัญหาในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ ก็ทำให้เกิดความมั่นใจ และขอเรียนกับสื่อมวลชนว่าทุก ๆ คนยอมรับในผลของการเลือกตั้ง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่บอกว่าทุกคนยอมรับผลการเลือกตั้ง แสดงว่าทุกคนพร้อมยุติที่จะเปิดศึกพรรคพลังประชาชนใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงไม่ใช่การเปิดศึก เมื่อตนพูดว่าทุกคนยอมรับในผลการเลือกตั้งก็เป็นส่วนหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าในความรู้สึกส่วนตัวของแต่ละคนนั้น ยอมรับในการตัดสินใจของประชาชน หมายถึงว่าเราปฏิบัติตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย และคงไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่านั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อพรรคพลังประชาชนเข้ามาเป็นรัฐบาลคิดว่าสถานะของกองทัพจะเป็นอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ใส่เสื้อสีชมพู ก็หวังในสิ่งที่ดีงาม มีความหวังที่สดใส ซึ่งเป็นสิ่งที่หวังไว้ อย่างที่พูดเสมอว่า ตนเองไม่ได้มองอะไรในแง่ร้าย มองโลกในแง่ดี ดังนั้น เราอย่าเพิ่งไปคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น คิดว่า น่าจะเป็นความร่วมมือทำงานร่วมกันที่จะทำให้เกิดความสงบเรียบร้อยขึ้นในบ้านเมือง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ตอนเข้ามารัฐบาลได้รับดอกไม้จากประชาชน คิดว่าตอนออกไปจะได้รับดอกไม้หรือก้อนอิฐ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงรอให้ถึงเวลานั้นว่าจะได้รับก้อนหินหรือดอกไม้ ส่วน 1 ปีที่ผ่านมาได้รับความบอบช้ำมากหรือไม่ คงไม่ได้บอบช้ำอะไร เพราะรู้สึกว่าไม่มีอะไรบุบเลย ไม่มีรอยเขียวเป็นจ้ำๆ มีเพียงโดน ตัวต่อต่อยเอาหน่อยเท่านั้น ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้นเลย ที่เจ็บจริงๆ ก็มีแค่นั้น ซึ่งการที่เข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่ได้มีความคิดที่อยากจะมาทำ แต่รับเพราะว่าไม่มีทางออกทางอื่น และไม่ได้มีการเลือกคนอื่นเข้ามาทำ เขาไว้วางใจตนเอง น่าที่จะให้มาช่วยแก้ปัญหาของบ้านเมืองได้ นั่นคือสิ่งที่ได้รับมาทำ เพราะฉะนั้น สิ่งที่คิดคือช่วยแก้ปัญหาบ้านเมือง ไม่ได้คิดว่าจะคุ้มหรือไม่คุ้ม สำหรับชาติบ้านเมือง เพราะได้รับ การอบรมสั่งสอนมาตลอดเวลาว่า แม้กระทั่งชีวิตก็สละให้ได้ เพราะฉะนั้น ไม่มีคำว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม ส่วนใครจะบอบช้ำบ้างนั้นไม่ทราบ และไม่ได้ไปสำรวจว่าใครจะมีรอยฟกช้ำบ้าง
ผู้สื่อข่าวถามว่า พลเอก สนธิฯ บอบช้ำมากหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เห็นพลเอก สนธิฯ ยิ้มแย้มดี พูดคุยอะไรก็ไม่เห็นว่ามีปัญหา เพราะฉะนั้น คิดว่าไม่ได้บอบช้ำอะไรมากมาย อาจจะมีความกังวลบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงช่วงเทศกาลปีใหม่ว่า จะอยู่โยงไม่ไปไหน คงจะไปๆมาๆ เพื่อให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ต้องดูแลเรื่องความสงบเรียบร้อย คงไม่ไปเคาท์ดาวน์ที่ไหน เพราะถ้าไปแล้วอาจจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาในเรื่องการดูแลความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ที่ต้องทำงานเพิ่มมากขึ้น ไม่ควรจะเป็นภาระ
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้อวยพรปีใหม่ให้กับสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล พร้อมมอบของขวัญเป็นแก้วน้ำและหนังสือภาพถ่ายฝีพระหัตถ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “ในร่มเงาสระปทุม”
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--