พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานในพิธีมอบเงินช่วยเหลือให้แก่ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย จังหวัดสกลนคร เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยซึ่งมีฐานะยากจน และไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเองในเขตจังหวัดสกลนคร ณ หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
วันนี้ เวลา 12.00 น. ณ หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานในพิธีมอบเงินช่วยเหลือให้แก่ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย จังหวัดสกลนคร เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยซึ่งมีฐานะยากจน และไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเองในเขตจังหวัดสกลนคร โดยมีผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก
นายปรีชา กมลบุตร ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร กล่าวรายงานว่า นับตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2541 เป็นต้นมา ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยได้ร่วมกันร้องขอให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย หลังจากได้ยุติการต่อสู้ อันเกิดจากความแตกต่างทางความคิดและเข้ารายงานตัวต่อทางราชการ ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 ลงวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2523 ซึ่งจังหวัดสกลนครเป็น 1 ใน 9 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เป็นภูมิลำเนาของผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย และเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2545 คณะกรรมการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ได้มีคำสั่งที่ 39/2545 แต่งตั้ง “คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย จังหวัดสกลนคร” ขึ้น โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนครเป็นประธานคณะอนุกรรมการและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้ง แกนนำของผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยอีก 3 คน ร่วมเป็นกรรมการ ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ดังกล่าว ได้ดำเนินการหา แนวทางแก้ไขปัญหาผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยมาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังหาข้อยุติไม่ได้ จนมาถึงรัฐบาลชุดปัจจุบันที่นายกรัฐมนตรี ซึ่งได้เดินทางมาหารือร่วมกับแกนนำของผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย จังหวัดสกลนคร เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ต่อมาในวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2549 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการให้ความช่วยเหลือผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย โดยมีหลักเกณฑ์การช่วยเหลือผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย คือ 1. ต้องมีฐานะยากจน 2. ต้องเป็นผู้ที่ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของ ตนเองหรือมีแต่ไม่เกิน 5 ไร่ 3. ต้องเป็นผู้มีภูมิลำเนาในเขตจังหวัดสกลนคร การให้ความช่วยเหลือจะช่วยเหลือเป็นเงินชดเชย สำหรับค่าที่ดินทำกิน 5 ไร่ และค่าทุนประกอบอาชีพ (เทียบเท่าค่าวัว 5 ตัว) รวมเป็นเงินไม่เกิน 125,000 บาท ทั้งนี้ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย จังหวัดสกลนคร ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด จะได้รับมอบเงินช่วยเหลือมี จำนวน 747 ราย เป็นเงินช่วยเหลือรวมทั้งสิ้น 78,144,448 บาท แต่ปัจจุบันมีผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ที่ได้เสียชีวิตไปแล้ว จำนวน 20 ราย ซึ่งจะได้มอบการช่วยเหลือให้แก่ทายาทต่อไป ดังนั้นการมอบเงินช่วยเหลือแก่ผู้ร่วมพัฒนาฯ ในวันนี้จึงมี จำนวนทั้งสิ้น 727 ราย
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานมอบเงินช่วยเหลือแก่ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย และกล่าวตอนหนึ่งว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องที่ดินทำกิน ปัญหาความเดือดร้อนต่าง ๆ ที่รัฐบาลได้ให้สัญญาว่าจะให้การช่วยเหลือ และได้มีการดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน จนการช่วยเหลือได้เสร็จสิ้นลงในปี 2550 โดยสิ่งที่เป็นส่วนสำคัญ 2 ส่วนคือ ความร่วมมือร่วมใจของประชาชนที่จะสร้างชาติบ้านเมืองที่ยืนอยู่บนพื้นฐานของความเป็นธรรม และสัญญาความช่วยเหลือที่ภาครัฐได้ให้ไว้กับผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ที่ขณะนี้ได้ปฏิบัติตามสัญญาให้สำเร็จลุล่วงครบถ้วนแล้ว
"ผมเคยได้เล่าให้ประชาชนหลายแห่งได้ทราบถึงความห่วงใยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในสมัยที่ผมเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ผมไปรับเสด็จฯ ที่สนามบินจังหวัดอุดรธานี เสด็จพระราชดำเนินมาในงาน พระราชทานเพลิงศพหลวงปู่เทศน์ เทศรังสี ที่วัดหินหมากเป้ง จังหวัดหนองคาย ก่อนที่จะเสด็จกลับได้มีพระราชกระแสรับสั่งบอกกับผมว่า แม่ทัพไปดูชาวบ้านที่หมู่บ้านแก้งนาง เขามีความเดือดร้องเรื่องน้ำ ให้มาดูพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนเผ่าโซ่ นั่นเป็นพระราชกระแสรับสั่งกับผม ผมไม่เคยได้รู้จักเลยว่าบ้านแก้งนางอยู่ที่ไหน ก็จำเป็นที่จะต้องไปถาม จำเป็นที่ต้องค้นหา และได้ดำเนินการช่วยเหลือหมู่บ้านนั้นตามแนวทางพระราชดำริ ในส่วนของพี่น้องชนเผ่าโซ่ ก็ได้พยายามที่จะดำเนินการหลาย ๆ อย่าง ในช่วงที่ผมเป็นแม่ทัพได้ปรับปรุงแหล่งน้ำที่เขตอำเภอคลองหลวง ในช่วงที่ผมเป็นนายกรัฐมนตรีก็จะมีการปรับปรุงแหล่งน้ำในบริเวณนั้น เพื่อให้พี่น้องซึ่งเป็นผู้ที่ได้เสนอแนะแนวความคิดในการที่สร้างแหล่งน้ำแหล่งนั้นให้เกิดประโยชน์ เพื่อเป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชน ซึ่งอยู่นอกพื้นที่เกษตรกรรมได้มีแหล่งน้ำใช้ในฤดูแล้ง นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ถือได้ว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ต่อพี่น้องประชาชนพวกเราทุกคน ถ้าไม่ได้มีพระราชกระแสรับสั่งในวันนั้น ผมเองก็คงทำงานในหน้าที่ ทำในเรื่องที่ผมจะต้องช่วยเหลือตามหน้าที่ของงานของแม่ทัพภาคที่ 2 นั่นคือโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในเขตอำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งทางกองทัพภาคที่ 2 ได้เข้ามาช่วยในการดำเนินการตามทฤษฎีใหม่ที่มีการใช้ที่ดินประกอบกับแหล่งน้ำในพื้นที่ นั่นเป็นส่วนที่ผมได้มีโอกาสได้ทำงานและมีโอกาสได้พบปะกับพี่น้องประชาชน ทำให้เกิดความรู้สึกที่ผูกพัน ทำให้เกิดความรู้สึกว่าพี่น้องพวกเราทุกคนมีความตั้งใจที่ดี มีความตั้งใจที่แน่วแน่ที่จะร่วมมือกันเพื่อที่จะทำให้เกิดความสงบ ให้เกิดสันติสุขขึ้นในบ้านเมืองของเราให้ได้” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เงินช่วยเหลือที่รัฐบาลมอบให้แก่ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยครั้งนี้ แม้ว่าจะเป็นเงินจำนวนน้อย แต่ขอให้ใช้จ่ายโดยยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ พระราชทานไว้ ซึ่งเป็นหลักการง่าย ๆ คือ การใช้จ่ายด้วยความรอบคอบ ใช้จ่ายด้วยความมีเหตุมีผล ใช้จ่ายบนพื้นฐานของความพอเพียง และต้องใช้จ่ายอย่างระมัดระวังไม่ประมาท เก็บออมไว้ส่วนหนึ่ง เพื่อเอาไว้แก้ปัญหาในวันข้างหน้า
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยที่มีน้ำใจในการบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือพี่น้องในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ประสบปัญหาความรุนแรงและความเดือดร้อนอยู่ในขณะนี้ และขอให้ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยทุกคนได้ตระหนักถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกัน ความสามัคคี ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่สำคัญที่สุดคือต้องทำงานเพื่อผืนแผ่นดินนี้และถวายความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ตลอดจนกว่าเราจะสิ้นลมหายใจของเรา
จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้มอบธงชาติแก่แกนนำผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย โดยผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย กล่าวคำปฏิญาณตน และร้องเพลงชาติและเพลงสรรเสริญพระบารมี พร้อมกันนี้แกนนำผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยได้มอบเงินช่วยเหลือผู้ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และมอบของที่ระลึกแก่นายกรัฐมนตรีพร้อมถ่ายภาพหมู่ร่วมกัน ก่อนเดินทางกลับ
ทั้งนี้ จังหวัดสกลนครเป็นจังหวัดสุดท้ายจากทั้งหมด 11 จังหวัด ที่ได้มีพิธีมอบเงินช่วยเหลือ โดยมีผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยที่ได้รับการช่วยเหลือใน 11 จังหวัดรวม 2,622 ราย เป็นเงิน 263 ล้านบาทเศษ
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
วันนี้ เวลา 12.00 น. ณ หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานในพิธีมอบเงินช่วยเหลือให้แก่ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย จังหวัดสกลนคร เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยซึ่งมีฐานะยากจน และไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเองในเขตจังหวัดสกลนคร โดยมีผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก
นายปรีชา กมลบุตร ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร กล่าวรายงานว่า นับตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2541 เป็นต้นมา ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยได้ร่วมกันร้องขอให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย หลังจากได้ยุติการต่อสู้ อันเกิดจากความแตกต่างทางความคิดและเข้ารายงานตัวต่อทางราชการ ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 ลงวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2523 ซึ่งจังหวัดสกลนครเป็น 1 ใน 9 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เป็นภูมิลำเนาของผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย และเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2545 คณะกรรมการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ได้มีคำสั่งที่ 39/2545 แต่งตั้ง “คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย จังหวัดสกลนคร” ขึ้น โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนครเป็นประธานคณะอนุกรรมการและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้ง แกนนำของผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยอีก 3 คน ร่วมเป็นกรรมการ ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ดังกล่าว ได้ดำเนินการหา แนวทางแก้ไขปัญหาผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยมาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังหาข้อยุติไม่ได้ จนมาถึงรัฐบาลชุดปัจจุบันที่นายกรัฐมนตรี ซึ่งได้เดินทางมาหารือร่วมกับแกนนำของผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย จังหวัดสกลนคร เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ต่อมาในวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2549 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการให้ความช่วยเหลือผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย โดยมีหลักเกณฑ์การช่วยเหลือผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย คือ 1. ต้องมีฐานะยากจน 2. ต้องเป็นผู้ที่ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของ ตนเองหรือมีแต่ไม่เกิน 5 ไร่ 3. ต้องเป็นผู้มีภูมิลำเนาในเขตจังหวัดสกลนคร การให้ความช่วยเหลือจะช่วยเหลือเป็นเงินชดเชย สำหรับค่าที่ดินทำกิน 5 ไร่ และค่าทุนประกอบอาชีพ (เทียบเท่าค่าวัว 5 ตัว) รวมเป็นเงินไม่เกิน 125,000 บาท ทั้งนี้ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย จังหวัดสกลนคร ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด จะได้รับมอบเงินช่วยเหลือมี จำนวน 747 ราย เป็นเงินช่วยเหลือรวมทั้งสิ้น 78,144,448 บาท แต่ปัจจุบันมีผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ที่ได้เสียชีวิตไปแล้ว จำนวน 20 ราย ซึ่งจะได้มอบการช่วยเหลือให้แก่ทายาทต่อไป ดังนั้นการมอบเงินช่วยเหลือแก่ผู้ร่วมพัฒนาฯ ในวันนี้จึงมี จำนวนทั้งสิ้น 727 ราย
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานมอบเงินช่วยเหลือแก่ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย และกล่าวตอนหนึ่งว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องที่ดินทำกิน ปัญหาความเดือดร้อนต่าง ๆ ที่รัฐบาลได้ให้สัญญาว่าจะให้การช่วยเหลือ และได้มีการดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน จนการช่วยเหลือได้เสร็จสิ้นลงในปี 2550 โดยสิ่งที่เป็นส่วนสำคัญ 2 ส่วนคือ ความร่วมมือร่วมใจของประชาชนที่จะสร้างชาติบ้านเมืองที่ยืนอยู่บนพื้นฐานของความเป็นธรรม และสัญญาความช่วยเหลือที่ภาครัฐได้ให้ไว้กับผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ที่ขณะนี้ได้ปฏิบัติตามสัญญาให้สำเร็จลุล่วงครบถ้วนแล้ว
"ผมเคยได้เล่าให้ประชาชนหลายแห่งได้ทราบถึงความห่วงใยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในสมัยที่ผมเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ผมไปรับเสด็จฯ ที่สนามบินจังหวัดอุดรธานี เสด็จพระราชดำเนินมาในงาน พระราชทานเพลิงศพหลวงปู่เทศน์ เทศรังสี ที่วัดหินหมากเป้ง จังหวัดหนองคาย ก่อนที่จะเสด็จกลับได้มีพระราชกระแสรับสั่งบอกกับผมว่า แม่ทัพไปดูชาวบ้านที่หมู่บ้านแก้งนาง เขามีความเดือดร้องเรื่องน้ำ ให้มาดูพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนเผ่าโซ่ นั่นเป็นพระราชกระแสรับสั่งกับผม ผมไม่เคยได้รู้จักเลยว่าบ้านแก้งนางอยู่ที่ไหน ก็จำเป็นที่จะต้องไปถาม จำเป็นที่ต้องค้นหา และได้ดำเนินการช่วยเหลือหมู่บ้านนั้นตามแนวทางพระราชดำริ ในส่วนของพี่น้องชนเผ่าโซ่ ก็ได้พยายามที่จะดำเนินการหลาย ๆ อย่าง ในช่วงที่ผมเป็นแม่ทัพได้ปรับปรุงแหล่งน้ำที่เขตอำเภอคลองหลวง ในช่วงที่ผมเป็นนายกรัฐมนตรีก็จะมีการปรับปรุงแหล่งน้ำในบริเวณนั้น เพื่อให้พี่น้องซึ่งเป็นผู้ที่ได้เสนอแนะแนวความคิดในการที่สร้างแหล่งน้ำแหล่งนั้นให้เกิดประโยชน์ เพื่อเป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชน ซึ่งอยู่นอกพื้นที่เกษตรกรรมได้มีแหล่งน้ำใช้ในฤดูแล้ง นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ถือได้ว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ต่อพี่น้องประชาชนพวกเราทุกคน ถ้าไม่ได้มีพระราชกระแสรับสั่งในวันนั้น ผมเองก็คงทำงานในหน้าที่ ทำในเรื่องที่ผมจะต้องช่วยเหลือตามหน้าที่ของงานของแม่ทัพภาคที่ 2 นั่นคือโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในเขตอำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งทางกองทัพภาคที่ 2 ได้เข้ามาช่วยในการดำเนินการตามทฤษฎีใหม่ที่มีการใช้ที่ดินประกอบกับแหล่งน้ำในพื้นที่ นั่นเป็นส่วนที่ผมได้มีโอกาสได้ทำงานและมีโอกาสได้พบปะกับพี่น้องประชาชน ทำให้เกิดความรู้สึกที่ผูกพัน ทำให้เกิดความรู้สึกว่าพี่น้องพวกเราทุกคนมีความตั้งใจที่ดี มีความตั้งใจที่แน่วแน่ที่จะร่วมมือกันเพื่อที่จะทำให้เกิดความสงบ ให้เกิดสันติสุขขึ้นในบ้านเมืองของเราให้ได้” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เงินช่วยเหลือที่รัฐบาลมอบให้แก่ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยครั้งนี้ แม้ว่าจะเป็นเงินจำนวนน้อย แต่ขอให้ใช้จ่ายโดยยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ พระราชทานไว้ ซึ่งเป็นหลักการง่าย ๆ คือ การใช้จ่ายด้วยความรอบคอบ ใช้จ่ายด้วยความมีเหตุมีผล ใช้จ่ายบนพื้นฐานของความพอเพียง และต้องใช้จ่ายอย่างระมัดระวังไม่ประมาท เก็บออมไว้ส่วนหนึ่ง เพื่อเอาไว้แก้ปัญหาในวันข้างหน้า
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยที่มีน้ำใจในการบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือพี่น้องในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ประสบปัญหาความรุนแรงและความเดือดร้อนอยู่ในขณะนี้ และขอให้ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยทุกคนได้ตระหนักถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกัน ความสามัคคี ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่สำคัญที่สุดคือต้องทำงานเพื่อผืนแผ่นดินนี้และถวายความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ตลอดจนกว่าเราจะสิ้นลมหายใจของเรา
จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้มอบธงชาติแก่แกนนำผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย โดยผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย กล่าวคำปฏิญาณตน และร้องเพลงชาติและเพลงสรรเสริญพระบารมี พร้อมกันนี้แกนนำผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยได้มอบเงินช่วยเหลือผู้ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และมอบของที่ระลึกแก่นายกรัฐมนตรีพร้อมถ่ายภาพหมู่ร่วมกัน ก่อนเดินทางกลับ
ทั้งนี้ จังหวัดสกลนครเป็นจังหวัดสุดท้ายจากทั้งหมด 11 จังหวัด ที่ได้มีพิธีมอบเงินช่วยเหลือ โดยมีผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยที่ได้รับการช่วยเหลือใน 11 จังหวัดรวม 2,622 ราย เป็นเงิน 263 ล้านบาทเศษ
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--