พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยนายอารีย์ วงศ์อารยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคณะเดินทางลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จังหวัดนราธิวาส ยะลา และปัตตานี) เพื่อตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
วันนี้ เวลา 07.40 น. ณ กองบิน 6 (อาคารใหม่) ดอนเมือง กรุงเทพฯ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยนายอารีย์ วงศ์อารยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคณะเดินทางลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จังหวัดนราธิวาส ยะลา และปัตตานี) เพื่อตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก่อนออกเดินทางนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การเดินทางครั้งนี้จะไปดูแลเรื่องสวัสดิการของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนอัตรากำลังตำรวจที่กำลังขาดแคลนนั้น รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้จัดทำแผนไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ต่อมาเวลา 10.00 น. พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ พร้อมคณะได้เดินทางมาถึงกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส เพื่อรับฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับเหตุการณ์ความไม่สงบและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ พ.ต.อ.นพดล เผือกโสมณ รองผู้บังคับการ ตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส จากนั้นนายกรัฐมนตรีและคณะได้เดินทางไปติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างแฟลตข้าราชการตำรวจของ สภ.อ.เมืองนราธิวาส และบ้านพักอาศัยของข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อย ที่ปัจจุบันมีความชำรุดทรุดโทรม โดยนายกรัฐมนตรีระบุว่ารัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณเร่งด่วนในการปรับปรุงที่อยู่อาศัยและอาคารที่ทำการของเจ้าหน้าที่ให้มีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเพื่อความคล่องตัวและเพิ่มศักยภาพในการทำงานให้ดีขึ้น รวมทั้งเน้นย้ำให้กำลังพล 3 ฝ่ายทั้งพลเรือน ตำรวจ และทหาร มีการปฏิบัติงานที่สอดคล้องกันและมีความแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น เนื่องจากประชาชนยังขาดความเชื่อมั่นต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ทั้ง 3 ฝ่าย อีกทั้งเร่งรัดให้ติดตั้งโทรทัศน์วงจรปิดในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เพิ่มเติมให้ครอบคลุมทุกพื้นที่เป็นการเร่งด่วนด้วย
หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางต่อไปยังถึงกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน กองทัพภาคที่ 4 ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร จังหวัดปัตตานี โดยได้รับฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จากพลโท วิโรจน์ บัวจรูญ แม่ทัพภาคที่ 4 และผลการดำเนินงานของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ในรอบ 3 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคม-มีนาคม 2550 โดยนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของตำรวจและอัยการ เร่งทำคดีความไม่สงบที่เกิดขึ้นในภาคใต้โดยเร็ว เพื่อผลักดันให้คดีเข้าสู่การพิจารณาในชั้นศาลให้รวดเร็วขึ้น เนื่องจากคดีความมั่นคงจำเป็นต้องดูแลให้เกิดความรวดเร็วทั้งระบบ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม พร้อมทั้งย้ำว่าการแก้ไขปัญหาภาคใต้นั้นต้องใช้สันติวิธี พยายามสร้างความไว้ใจ สร้างความเชื่อถือ ให้กับคนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นคนดี คนเหล่านี้จะใช้วิธีพูดจาปรับความเข้าใจกัน แต่ในส่วนคนร้ายเราจะไม่ใช้สันติวิธี แต่ต้องดำเนินการตามกฎหมายที่เป็นธรรม ไม่ใช่บอกว่ารัฐบาลสมานฉันท์แล้วเราจะไม่ใช้วิธีการด้านกฎหมาย แต่เราไม่ใช้วิธีการนอกกฎหมาย แต่ใช้วิธีการตามกฎหมาย เพื่อแก้ไขปัญหาคนร้าย ซึ่งเป็นสิ่งที่ย้ำอย่างชัดเจนมาตลอด
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้เน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ทั้งพลเรือน ตำรวจและทหาร บูรณาการการทำงานร่วมกันในการสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนทั้งชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิม เพื่อลดความหวาดระแวงและสมานรอยร้าวของทั้ง 2 กลุ่ม รวมทั้งสั่งการให้รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเสนอขอตั้งงบประมาณในปีหน้าเพื่อก่อสร้างที่พักอาศัยให้กับข้าราชการตำรวจ และจะเร่งรัดให้กระทรวงศึกษาธิการยกระดับการศึกษาในพื้นที่ให้มีคุณภาพมากขึ้น เพราะการศึกษาถือเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาในระยะยาวที่ดีที่สุด และยังมีโครงการที่จะให้เยาวชนในพื้นที่ต่าง ๆ เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรมซึ่งกันและกัน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่เยี่ยมเยียนเจ้าหน้าที่และติดตามความคืบหน้าให้บ่อยขึ้น
ต่อมานายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางเดินทางไปตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจกองพันทหารราบที่ 137 ที่วัดลำใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดยะลา โดยมีตัวแทนชาวบ้านตำบลลำใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ได้ร้องขอให้นายกรัฐมนตรีเร่งโครงการสมานสัมพันธ์ชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิม และขอให้ส่งกองกำลังอาสาสมัครมาช่วยรักษาความปลอดภัยในหมู่บ้าน ๆ ละ 15 คน ซึ่งนายกรัฐมนตรีรับที่จะพิจารณาเร่งรัดเรื่องนี้ให้ และได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดรับไปดำเนินการ ทั้งนี้ เห็นว่าโครงการดังกล่าวจะช่วยลดความหวาดระแวงของคนในชุมชนได้ และขอให้ชาวบ้านร่วมมือกันแก้ไขปัญหา ไม่อยากให้ชาวไทยพุทธมองชาวไทยมุสลิมในมุมที่ไม่ดี เพราะขณะนี้มีมือที่ 3 กำลังเข้ามาสร้างความแตกแยกในชุมชน ดังนั้นในฐานะที่เป็นคนไทยด้วยกัน ต้องร่วมมือกันแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เข้าเยี่ยมญาตินางสาวพัชราภรณ์ บุญมาศ บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ที่ถูกคนร้ายลอบสังหาร พร้อมมอบเงินจำนวน 20,000 บาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจด้วย
จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางไปยังจังหวัดปัตตานี เพื่อตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ และพบปะกับผู้แทนภาคเอกชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่โรงแรม ซี.เอส. ปัตตานี นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้เดินทางไปเยี่ยม พ.ต.อ.นพดล เผือกโสมณ รองผู้บังคับการ ตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส ซึ่งพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ จังหวัดสงขลา ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
วันนี้ เวลา 07.40 น. ณ กองบิน 6 (อาคารใหม่) ดอนเมือง กรุงเทพฯ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยนายอารีย์ วงศ์อารยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคณะเดินทางลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จังหวัดนราธิวาส ยะลา และปัตตานี) เพื่อตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก่อนออกเดินทางนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การเดินทางครั้งนี้จะไปดูแลเรื่องสวัสดิการของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนอัตรากำลังตำรวจที่กำลังขาดแคลนนั้น รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้จัดทำแผนไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ต่อมาเวลา 10.00 น. พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ พร้อมคณะได้เดินทางมาถึงกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส เพื่อรับฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับเหตุการณ์ความไม่สงบและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ พ.ต.อ.นพดล เผือกโสมณ รองผู้บังคับการ ตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส จากนั้นนายกรัฐมนตรีและคณะได้เดินทางไปติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างแฟลตข้าราชการตำรวจของ สภ.อ.เมืองนราธิวาส และบ้านพักอาศัยของข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อย ที่ปัจจุบันมีความชำรุดทรุดโทรม โดยนายกรัฐมนตรีระบุว่ารัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณเร่งด่วนในการปรับปรุงที่อยู่อาศัยและอาคารที่ทำการของเจ้าหน้าที่ให้มีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเพื่อความคล่องตัวและเพิ่มศักยภาพในการทำงานให้ดีขึ้น รวมทั้งเน้นย้ำให้กำลังพล 3 ฝ่ายทั้งพลเรือน ตำรวจ และทหาร มีการปฏิบัติงานที่สอดคล้องกันและมีความแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น เนื่องจากประชาชนยังขาดความเชื่อมั่นต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ทั้ง 3 ฝ่าย อีกทั้งเร่งรัดให้ติดตั้งโทรทัศน์วงจรปิดในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เพิ่มเติมให้ครอบคลุมทุกพื้นที่เป็นการเร่งด่วนด้วย
หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางต่อไปยังถึงกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน กองทัพภาคที่ 4 ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร จังหวัดปัตตานี โดยได้รับฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จากพลโท วิโรจน์ บัวจรูญ แม่ทัพภาคที่ 4 และผลการดำเนินงานของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ในรอบ 3 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคม-มีนาคม 2550 โดยนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของตำรวจและอัยการ เร่งทำคดีความไม่สงบที่เกิดขึ้นในภาคใต้โดยเร็ว เพื่อผลักดันให้คดีเข้าสู่การพิจารณาในชั้นศาลให้รวดเร็วขึ้น เนื่องจากคดีความมั่นคงจำเป็นต้องดูแลให้เกิดความรวดเร็วทั้งระบบ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม พร้อมทั้งย้ำว่าการแก้ไขปัญหาภาคใต้นั้นต้องใช้สันติวิธี พยายามสร้างความไว้ใจ สร้างความเชื่อถือ ให้กับคนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นคนดี คนเหล่านี้จะใช้วิธีพูดจาปรับความเข้าใจกัน แต่ในส่วนคนร้ายเราจะไม่ใช้สันติวิธี แต่ต้องดำเนินการตามกฎหมายที่เป็นธรรม ไม่ใช่บอกว่ารัฐบาลสมานฉันท์แล้วเราจะไม่ใช้วิธีการด้านกฎหมาย แต่เราไม่ใช้วิธีการนอกกฎหมาย แต่ใช้วิธีการตามกฎหมาย เพื่อแก้ไขปัญหาคนร้าย ซึ่งเป็นสิ่งที่ย้ำอย่างชัดเจนมาตลอด
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้เน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ทั้งพลเรือน ตำรวจและทหาร บูรณาการการทำงานร่วมกันในการสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนทั้งชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิม เพื่อลดความหวาดระแวงและสมานรอยร้าวของทั้ง 2 กลุ่ม รวมทั้งสั่งการให้รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเสนอขอตั้งงบประมาณในปีหน้าเพื่อก่อสร้างที่พักอาศัยให้กับข้าราชการตำรวจ และจะเร่งรัดให้กระทรวงศึกษาธิการยกระดับการศึกษาในพื้นที่ให้มีคุณภาพมากขึ้น เพราะการศึกษาถือเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาในระยะยาวที่ดีที่สุด และยังมีโครงการที่จะให้เยาวชนในพื้นที่ต่าง ๆ เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรมซึ่งกันและกัน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่เยี่ยมเยียนเจ้าหน้าที่และติดตามความคืบหน้าให้บ่อยขึ้น
ต่อมานายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางเดินทางไปตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจกองพันทหารราบที่ 137 ที่วัดลำใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดยะลา โดยมีตัวแทนชาวบ้านตำบลลำใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ได้ร้องขอให้นายกรัฐมนตรีเร่งโครงการสมานสัมพันธ์ชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิม และขอให้ส่งกองกำลังอาสาสมัครมาช่วยรักษาความปลอดภัยในหมู่บ้าน ๆ ละ 15 คน ซึ่งนายกรัฐมนตรีรับที่จะพิจารณาเร่งรัดเรื่องนี้ให้ และได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดรับไปดำเนินการ ทั้งนี้ เห็นว่าโครงการดังกล่าวจะช่วยลดความหวาดระแวงของคนในชุมชนได้ และขอให้ชาวบ้านร่วมมือกันแก้ไขปัญหา ไม่อยากให้ชาวไทยพุทธมองชาวไทยมุสลิมในมุมที่ไม่ดี เพราะขณะนี้มีมือที่ 3 กำลังเข้ามาสร้างความแตกแยกในชุมชน ดังนั้นในฐานะที่เป็นคนไทยด้วยกัน ต้องร่วมมือกันแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เข้าเยี่ยมญาตินางสาวพัชราภรณ์ บุญมาศ บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ที่ถูกคนร้ายลอบสังหาร พร้อมมอบเงินจำนวน 20,000 บาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจด้วย
จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางไปยังจังหวัดปัตตานี เพื่อตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ และพบปะกับผู้แทนภาคเอกชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่โรงแรม ซี.เอส. ปัตตานี นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้เดินทางไปเยี่ยม พ.ต.อ.นพดล เผือกโสมณ รองผู้บังคับการ ตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส ซึ่งพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ จังหวัดสงขลา ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--