นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดภาคเหนือ และกลุ่มพลังมวลชนทุกหมุ่เหล่า ร่วมในงาน "มหกรรมประชาธิปไตย รวมพลังพัฒนาประชาธิปไตย"ไปใช้สิทธิลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2550 ณ สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
วันนี้ เวลา 09.30 น. พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “มหกรรมรวมพลังพัฒนาประชาธิปไตย” ณ สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยจัดขึ้น โดยมีนายอารีย์ วงศ์อารยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ลำปาง เชียงราย พะเยา แม่ฮ่องสอน และลำพูน พร้อมทั้งข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา กลุ่มพลังมวลชนทุกหมู่เหล่า และอาสาสมัครพัฒนาประชาธิปไตย (อสพป.) จากจังหวัดเชียงใหม่ ลำปาง และลำพูน เข้าร่วมในพิธีเป็นจำนวนมาก
เมื่อเดินทางถึงนายกรัฐมนตรีได้เปิดกรวยดอกไม้ถวายความเคารพพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนั้นนายอารีย์ วงศ์อารยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวรายงานสรุปว่า กระทรวงมหาดไทยได้รับมอบหมายในการบูรณาการขับเคลื่อนการพัฒนาการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมในการพัฒนาการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของกลุ่มพลังมวลชน และประชาชนทุกภาคส่วน ในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับปีพุทธศักราช 2550 ให้ประชาชนได้รับทราบ เพื่อให้ประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งเกิดความตระหนักและไปใช้สิทธิออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 19 สิงหาคมนี้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการลงประชามติรัฐธรรมนูญครั้งแรกของประเทศ และเป็นก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่การพัฒนาการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชน จึงได้จัด “มหกรรมรวมพลังพัฒนาประชาธิปไตย” ขึ้น โดยกิจกรรมในวันนี้เป็นการแสดงพลังแห่งความสามัคคี และความมุ่งมั่นในการพัฒนาการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของทุกภาคส่วน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวปราศรัยกับกลุ่มพลังมวลชนที่เข้าร่วมกิจกรรมว่า การลงประชามติในร่างรัฐธรรมนูญนั้น มีความสำคัญอย่างมากต่อการพัฒนาการเมืองการปกครองของประเทศไทย เพราะรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ คนไทยทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ และอนาคตของประเทศก็ขึ้นอยู่กับการไปลงประชามติของประชาชน ซึ่งต้องขอบคุณกระทรวงมหาดไทยที่ได้จัดงานในวันนี้ขึ้น เพื่อรณรงค์สร้างเสริมให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิออกเสียงประชามติในวันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม นี้ ซึ่งไม่ว่าผลของการลงประชามติจะเป็นอย่างไร ก็ถือได้ว่าเป็นการแสดงออกถึงความต้องการที่แท้จริงของคนส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นเจ้าของประเทศ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การร่างรัฐธรรมนูญก็เพื่อเปิดโอกาสให้การเมืองของไทยกลับสู่แนวทางประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่ง และร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ได้ผ่านการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นอย่างมากที่สุดแล้ว จนเกิดการตกผลึกจากความคิดที่หลากหลาย โดยมีหลักการสำคัญเพื่อส่งเสริม และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนให้มากขึ้น สนับสนุนให้ประชาชนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการปกครองและการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐมากขึ้น กำหนดกลไกสถาบันทางการเมืองให้มีดุลยภาพ สร้างเสริมสถาบันศาลและองค์กรอิสระอื่นให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยสุจริตเที่ยงธรรม รวมทั้งได้เน้นย้ำคุณค่า และความสำคัญของคุณธรรม จริยธรรม และแนวทางการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีอันเป็นหลักจรรโลงชาติ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม หากได้ศึกษาประวัติศาสตร์จะพบว่า ไม่มีรัฐธรรมนูญของไทยฉบับใดที่ได้มาโดยไม่ผ่านการรัฐประหาร หรือเหตุการณ์วิกฤตของประเทศ แม้แต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับที่ 1 ก็เช่นเดียวกัน ซึ่งเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้น และผ่านไปแล้วเป็นอดีตที่เราไม่อาจนำหวนกลับมาได้ ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดในขณะนี้คือช่วยกันทำวันนี้และวันข้างหน้าให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยการไปใช้สิทธิของท่านออกเสียงประชามติในวันที่ 19 สิงหาคม นี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นอกจากนี้สภาร่างรัฐธรรมนูญได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้ประชาชนได้รับทราบ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาไปพอสมควรแล้ว ดังนั้น จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกันออกไปใช้สิทธิ เพื่อร่วมกันแสดงออกให้เห็นถึงความรัก ความหวงแหนในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อตอบแทนบุญคุณของแผ่นดิน และร่วมกันกำหนดอนาคตของชาติด้วยตัวของเราเอง
หลังจากนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ลำปาง เชียงราย พะเยา แม่ฮ่องสอน และลำพูน มอบธง อสพป.ให้กับนายกรัฐมนตรี เพื่อนำไปปักบนแท่นพิธี เสร็จแล้วนายกรัฐมนตรีได้นำผู้เข้าร่วมพิธีกล่าวคำปฏิญาณ ดังนี้ “ข้าพเจ้า ขอให้คำสัตย์ปฏิญาณว่า จะจงรักภักดีต่อพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ จะตอบแทนบุญคุณของแผ่นดิน ไม่ซื้อสิทธิ์ขายเสียง และจะร่วมกันพัฒนาประชาธิปไตย ให้เกิดความถูกต้อง เป็นธรรมและเป็นไทยตลอดไป” จากนั้นวงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีและเพลงสดุดีมหาราชา เป็นอันเสร็จพิธี
สำหรับการจัดกิจกรรมรณรงค์ครั้งนี้ ปางช้างแม่สาได้นำช้างพังวันเพ็ญ และช้างพังคำแสน อายุ 9 ปี ทั้งคู่ มาเขียนป้ายผ้าขนาดใหญ่ คำว่า "19 สิงหาคม ลงประชามติ" และวาดรูปเหมือนดอกทานตะวันจำนวน 6 ดอกที่มีความหมายถึง 60 พรรษา แห่งการครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์อันทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย และความใหญ่โต ความเบ่งบานที่สวยงาม และความเจริญรุ่งเรืองที่มีเสน่ห์อย่างหาที่เปรียบมิได้ หลังจากที่มีการเขียนป้ายผ้าเสร็จได้นำป้ายผ้าดังกล่าวมอบให้กับนายกรัฐมนตรี
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
วันนี้ เวลา 09.30 น. พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “มหกรรมรวมพลังพัฒนาประชาธิปไตย” ณ สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยจัดขึ้น โดยมีนายอารีย์ วงศ์อารยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ลำปาง เชียงราย พะเยา แม่ฮ่องสอน และลำพูน พร้อมทั้งข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา กลุ่มพลังมวลชนทุกหมู่เหล่า และอาสาสมัครพัฒนาประชาธิปไตย (อสพป.) จากจังหวัดเชียงใหม่ ลำปาง และลำพูน เข้าร่วมในพิธีเป็นจำนวนมาก
เมื่อเดินทางถึงนายกรัฐมนตรีได้เปิดกรวยดอกไม้ถวายความเคารพพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนั้นนายอารีย์ วงศ์อารยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวรายงานสรุปว่า กระทรวงมหาดไทยได้รับมอบหมายในการบูรณาการขับเคลื่อนการพัฒนาการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมในการพัฒนาการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของกลุ่มพลังมวลชน และประชาชนทุกภาคส่วน ในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับปีพุทธศักราช 2550 ให้ประชาชนได้รับทราบ เพื่อให้ประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งเกิดความตระหนักและไปใช้สิทธิออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 19 สิงหาคมนี้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการลงประชามติรัฐธรรมนูญครั้งแรกของประเทศ และเป็นก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่การพัฒนาการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชน จึงได้จัด “มหกรรมรวมพลังพัฒนาประชาธิปไตย” ขึ้น โดยกิจกรรมในวันนี้เป็นการแสดงพลังแห่งความสามัคคี และความมุ่งมั่นในการพัฒนาการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของทุกภาคส่วน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวปราศรัยกับกลุ่มพลังมวลชนที่เข้าร่วมกิจกรรมว่า การลงประชามติในร่างรัฐธรรมนูญนั้น มีความสำคัญอย่างมากต่อการพัฒนาการเมืองการปกครองของประเทศไทย เพราะรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ คนไทยทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ และอนาคตของประเทศก็ขึ้นอยู่กับการไปลงประชามติของประชาชน ซึ่งต้องขอบคุณกระทรวงมหาดไทยที่ได้จัดงานในวันนี้ขึ้น เพื่อรณรงค์สร้างเสริมให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิออกเสียงประชามติในวันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม นี้ ซึ่งไม่ว่าผลของการลงประชามติจะเป็นอย่างไร ก็ถือได้ว่าเป็นการแสดงออกถึงความต้องการที่แท้จริงของคนส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นเจ้าของประเทศ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การร่างรัฐธรรมนูญก็เพื่อเปิดโอกาสให้การเมืองของไทยกลับสู่แนวทางประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่ง และร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ได้ผ่านการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นอย่างมากที่สุดแล้ว จนเกิดการตกผลึกจากความคิดที่หลากหลาย โดยมีหลักการสำคัญเพื่อส่งเสริม และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนให้มากขึ้น สนับสนุนให้ประชาชนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการปกครองและการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐมากขึ้น กำหนดกลไกสถาบันทางการเมืองให้มีดุลยภาพ สร้างเสริมสถาบันศาลและองค์กรอิสระอื่นให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยสุจริตเที่ยงธรรม รวมทั้งได้เน้นย้ำคุณค่า และความสำคัญของคุณธรรม จริยธรรม และแนวทางการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีอันเป็นหลักจรรโลงชาติ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม หากได้ศึกษาประวัติศาสตร์จะพบว่า ไม่มีรัฐธรรมนูญของไทยฉบับใดที่ได้มาโดยไม่ผ่านการรัฐประหาร หรือเหตุการณ์วิกฤตของประเทศ แม้แต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับที่ 1 ก็เช่นเดียวกัน ซึ่งเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้น และผ่านไปแล้วเป็นอดีตที่เราไม่อาจนำหวนกลับมาได้ ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดในขณะนี้คือช่วยกันทำวันนี้และวันข้างหน้าให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยการไปใช้สิทธิของท่านออกเสียงประชามติในวันที่ 19 สิงหาคม นี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นอกจากนี้สภาร่างรัฐธรรมนูญได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้ประชาชนได้รับทราบ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาไปพอสมควรแล้ว ดังนั้น จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกันออกไปใช้สิทธิ เพื่อร่วมกันแสดงออกให้เห็นถึงความรัก ความหวงแหนในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อตอบแทนบุญคุณของแผ่นดิน และร่วมกันกำหนดอนาคตของชาติด้วยตัวของเราเอง
หลังจากนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ลำปาง เชียงราย พะเยา แม่ฮ่องสอน และลำพูน มอบธง อสพป.ให้กับนายกรัฐมนตรี เพื่อนำไปปักบนแท่นพิธี เสร็จแล้วนายกรัฐมนตรีได้นำผู้เข้าร่วมพิธีกล่าวคำปฏิญาณ ดังนี้ “ข้าพเจ้า ขอให้คำสัตย์ปฏิญาณว่า จะจงรักภักดีต่อพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ จะตอบแทนบุญคุณของแผ่นดิน ไม่ซื้อสิทธิ์ขายเสียง และจะร่วมกันพัฒนาประชาธิปไตย ให้เกิดความถูกต้อง เป็นธรรมและเป็นไทยตลอดไป” จากนั้นวงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีและเพลงสดุดีมหาราชา เป็นอันเสร็จพิธี
สำหรับการจัดกิจกรรมรณรงค์ครั้งนี้ ปางช้างแม่สาได้นำช้างพังวันเพ็ญ และช้างพังคำแสน อายุ 9 ปี ทั้งคู่ มาเขียนป้ายผ้าขนาดใหญ่ คำว่า "19 สิงหาคม ลงประชามติ" และวาดรูปเหมือนดอกทานตะวันจำนวน 6 ดอกที่มีความหมายถึง 60 พรรษา แห่งการครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์อันทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย และความใหญ่โต ความเบ่งบานที่สวยงาม และความเจริญรุ่งเรืองที่มีเสน่ห์อย่างหาที่เปรียบมิได้ หลังจากที่มีการเขียนป้ายผ้าเสร็จได้นำป้ายผ้าดังกล่าวมอบให้กับนายกรัฐมนตรี
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--