นายกรัฐมนตรีและคณะพบปะสื่อมวลชนทำเนียบรัฐบาล ในโครงการสัมมนาสื่อมวลชนสัมพันธ์ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จัดขึ้น ที่โรงแรมอิมพีเรียล ภูแก้วฮิลล์ รีสอร์ท อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์
วันนี้ เวลา 10.40 น. ณ โรงแรมอิมพีเรียล ภูแก้วฮิลล์ รีสอร์ท อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ร่วมพบปะสื่อมวลชนทำเนียบรัฐบาล ในโครงการสัมมนาสื่อมวลชนสัมพันธ์ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 — 16 กันยายน 2550 โดยมีนายอารีย์ วงศ์อารยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก พงษ์เทพ เทศประทีป เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร้อยเอก ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะเข้าร่วมด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เล่าให้สื่อมวลชนฟังว่า เมื่อปี 2511 ได้มาทำงานที่นี่ ในเรื่องของการดูแลความสงบเรียบร้อยและปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผกค.) ซึ่งพื้นที่บริเวณนี้ไม่ค่อยมีคนอยากมา เพราะมีปัญหาในเรื่องการก่อการร้าย และตรงหมู่บ้านตรงจุดนี้คือเส้นทางที่จะข้ามจากทางหินร่องกล้าไปทางเขาค้อ โดยได้ลาดตระเวนอยู่บริเวณนี้ เดินตามสันเขาทางด้านตะวันตกไปถึงเขาค้อ แต่ปัจจุบันพื้นที่บริเวณนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม ทั้งนี้ สภาพป่าหลังจากช่วงปี 2525-2526 มีผู้เข้ามาทำไร่ทำให้สภาพป่าเสื่อมโทรมลง แต่ขณะนี้ก็ฟื้นกลับขึ้นมาบ้าง สิ่งที่เห็นนี้คือความเปลี่ยนแปลง ประชาชนก็หันมาร่วมมือกันช่วยกันแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนต่าง ๆ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในวันหนึ่งหากประเทศชาติมีปัญหาในทำนองนี้ การพูดคุยกันและการทำความเข้าใจกัน ถือเป็นเรื่องที่ดี โดยเฉพาะพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเหมือนกับเขาค้อในอดีต ตรงที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนและไม่ได้รับความเป็นธรรม จนทำให้ผู้มีความคิดไม่เหมือนทางราชการ นำมาเป็นเงื่อนไขในการต่อสู้และเรียกร้องความชอบธรรม ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำขณะนี้คือการสร้างความเข้าใจให้ถูกต้องกับประชาชนและเยาวชน เน้นเรื่องการศึกษาและอาชีพ
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ปัจจุบันกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ ยังมีการปลูกฝังแนวความคิดที่ผิดแก่เยาวชนค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเยาวชนที่มีอายุ 18-30 ปี และจากการประเมินทำให้ทราบว่า ปัจจุบันมีแนวร่วมอยู่ราว ๆ 20,000 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ลดลงจากเดิมมาก ส่วนตัวเชื่อว่า หากมีรัฐบาลใหม่เข้ามาก็คงแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี ซึ่งสอดคล้องกับรัฐบาลชุดนี้ โดยต้องยอมรับว่าขณะนี้เราไม่ได้ต่อสู้กับใคร แต่เราต้องสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นกับประชาชนในพื้นที่ เพราะเป็นคนไทยด้วยกัน
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า หากวิเคราะห์แล้วสถานการณ์ที่เกิดขึ้นพบว่า พื้นที่จังหวัดปัตตานียังมีความรุนแรงมากกว่าจังหวัดยะลาและนราธิวาส แต่ขณะนี้ก็เริ่มลดลงบ้างแล้ว ส่วนเหตุที่จังหวัดปัตตานีมีการก่อเหตุบ่อยครั้ง เพราะมีพื้นที่กว้าง กลุ่มก่อความไม่สงบมีโอกาสต่อสู้ ก่อเหตุ และหลบหนีได้ง่ายกว่าจังหวัดอื่น ซึ่งทางฝ่ายความมั่นคงกำลังดูแลอยู่
หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ตอบข้อซักถามเกี่ยวกับบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปีว่า ในภาพรวมก็เป็นเรื่องที่ได้มีการหารือกันแล้ว คงไม่มีอะไรที่จะเพิ่มเติม ก็คงไม่ได้ส่งไปปรับปรุงอะไร คาดว่าในช่วงสัปดาห์นี้ คิดว่าน่าจะนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายได้ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการตรวจรายชื่อและตัวสะกดในฉบับจริง ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ทั้งนี้ การแต่งตั้งผู้บัญชาการทหารบกคนใหม่ ไม่ได้นำสถานการณ์ทางการเมืองเข้ามาพิจารณาเป็นหลัก แต่เราอยากได้คนที่มีมุมมองค่อนข้างกว้างพิจารณาเองได้ จะไม่เลือกคนที่คอยรับคำสั่ง เพราะผู้บริหารต้องคิดเองพิจารณาเอง
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ทหารต่อไปคงไม่สมควรที่จะมีบทบาทในเรื่องการทำรัฐประหารอีก เพราะปัญหาทางการเมืองก็ควรต้องแก้ไขด้วยการเมือง เรื่องนี้จึงอยากฝากประชาชนให้ดูว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นทางการเมืองควรจะได้ช่วยกันแก้ไขปัญหา เพราะปัญหาการเมืองก็ควรแก้ไขด้วยการเมือง
นายกรัฐมนตรียังมั่นใจว่าจะไม่มีความขัดแย้งภายในกองทัพ หลังการแต่งตั้งเสร็จสิ้น และผู้บัญชาการทหารบกคนใหม่ รวมถึงเหล่าทัพอื่น ควรมาดูแลเรื่องการเลือกตั้งให้เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่ใช่มารับมือกลุ่มอำนาจเก่า หรือต่อต้านการเดินทางกลับประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก และประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) จะลงเล่นการเมืองหลังเกษียณอายุราชการนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พลเอก สนธิฯ ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องอนาคตที่ไกลมากนัก แต่สิ่งที่พูดกันคือทำอย่างไรให้การแก้ไขปัญหาบ้านเมืองลุล่วง มีการเลือกตั้งที่โปร่งใสเป็นธรรม ส่วนเรื่องการตัดสินใจทำงานทางการเมืองเป็นหน้าที่ที่พลเอก สนธิฯ ต้องพิจารณาเอง ขณะนี้เราพยายามยืนอยู่บนจุดกึ่งกลางในการดูแลการเลือกตั้งให้โปร่งใสและเป็นธรรมให้มากที่สุด
ส่วนที่ว่าพลเอก สนธิฯ ทำงานการเมืองจะเป็นการสืบทอดอำนาจ และอาจทำให้ประเทศมีปัญหาหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นมุมมองแต่ละคน สิ่งที่เราได้รับข้อมูลถ้านำมาวิเคราะห์พิจารณาในภาพกว้างก็เป็นแนวคิดของแต่ละคน ที่ผ่านมาอดีตผู้บัญชาการทหารบกหลายคนก็ลงไปทำงานทางการเมือง ในปัจจุบันนี้ก็มี แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่เป็นเรื่องการสืบทอดอำนาจ และทางกองทัพคงไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง เพราะจะทำให้มีปัญหาต่อไปในระยะยาว
ผู้สื่อข่าวถามว่า มองว่าครบรอบ 1 ปี ในการทำรัฐประหารของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ในวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา ภารกิจของ คมช. สำเร็จหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนตัวคงไม่ประเมิน คมช. ว่ามีผลงานหรือไม่มีผลงานได้ เพราะต่างคนต่างมีหน้าที่ โดยรัฐบาลไม่ได้มีหน้าที่ทำงานให้กับ คมช. แต่มีหน้าที่ทำงานให้กับประชาชน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลคงไม่สามารถประเมินตัวเองได้เช่นกัน และคงไม่มีการแถลงผลงานในรอบ 1 ปี เพราะต้องให้ประชาชนเป็นผู้ประเมินเอง โดยเวลาที่เหลือ 3 เดือน คงไม่มีอะไรใหม่ แต่จะเร่งงานคั่งค้างเก่าให้แล้วเสร็จ โดยเฉพาะเรื่องของการจัดการเลือกตั้ง การศึกษา และคงไม่มีการปรับคณะรัฐมนตรีใหม่ เพราะรัฐมนตรีที่ทำงานอยู่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้ยังมีความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีนายกรัฐมนตรี ในช่วงใกล้เลือกตั้ง กังวลหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่กังวล เพราะเป็นเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณฯ จะดำเนินการ ในส่วนของรัฐบาลเมื่อกระบวนการสอบสวนเข้าสู่ขั้นตอนของศาลแล้ว ก็คงเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมที่จะดำเนินการต่อ ส่วนการติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณฯ มาดำเนินคดีนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม เมื่อจะพิจารณาคดีก็ต้องมีผู้ต้องหาเข้ามา ส่วนจะได้หรือไม่ได้ มีปัญหาอะไรคงต้องแก้ไขกันต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณฯ พยายามเรียกร้องให้ปรองดอง จนถึงขณะนี้นายกรัฐมนตรียอมรับหรือไม่ว่าคำว่า "สมานฉันท์" ใช้กับ พ.ต.ท.ทักษิณฯ ไม่ได้แล้ว นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงไม่ได้คิดจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นมา แต่กรณีที่เป็นความผิดตามกฎหมายก็คงปรองดองไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องที่จะต้องรับกรรม เราทำกรรมดีก็ต้องได้กรรมดีตอบ ถ้าเราทำในสิ่งที่ไม่ดีเราก็ต้องได้รับสิ่งเหล่านั้น สักวันหนึ่งมันก็ต้องตามทัน
ส่วนการรวมกลุ่มของกลุ่มการเมืองต่าง ๆ นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นเรื่องทางการเมือง และการจับกลุ่มเปฌนพันธมิตรทางการเมืองไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด แต่สิ่งที่อยากเห็นคือการจับกลุ่มแล้วมีความต่อเนื่อง ไม่เปลี่ยนแปลงบ่อย ถ้ามีความต่อเนื่องสภาพการเมืองก็จะมั่นคงขึ้น ทุกประเทศมีการจับกลุ่มแล้วอยู่กันนานมีความต่อเนื่อง การขัดแย้งทางความคิดถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ขอให้อยู่ในกรอบสันติวิธี ถ้าหากไม่ก้าวล่วงเข้าสู่การใช้กำลังปะทะกัน ไม่ว่าด้วยวิธีการใด นั่นจะเป็นการก้าวสู่ครรลองประชาธิปไตย
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในช่วงเวลาต่อจากนี้ของรัฐบาลจะทำงานเก่าให้เสร็จก่อน เช่น งานทางภาคใต้ และงานในส่วนอื่น ๆ ที่จำเป็น โดยคงจะมีโอกาสทำความเข้าใจให้มากขึ้นในเร็ว ๆ นี้ ทั้งในเรื่องของคน เรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่เป็นส่วนสำคัญที่รัฐบาลนี้ได้ทุ่มเท สร้างคนให้มีคุณภาพทั้งความรู้และคุณธรรม ซึ่งกระทรวงศึกษาได้ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงมาอย่างต่อเนื่อง โดยจะได้มีโอกาสทำความเข้าใจและชี้แจงให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบประมาณเดือนตุลาคมนี้ถึงทิศทางว่าเราจะไปทางไหนกันอย่างไร
ส่วนการดำเนินงานทางด้านเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าได้พูดกับนักลงทุนต่างประเทศไปแล้วว่าเราจะทำอะไรบ้าง โดยหลัก ๆ เป็นเรื่องการรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทที่จะทำต่อไป ด้านการลงทุนในโครงการเมกกะโปรเจคท์ที่ยังมีปัญหาอยู่บ้างในเรื่องของการลงทุน ที่เราจะต้องตอบแหล่งเงินกู้ให้ได้ก่อนในเรื่องของการแยกส่วนบริหารจัดการระบบราง ตัวตู้รถ ว่าใครจะเป็นผู้บริหารจัดการ เป็นผู้ก่อสร้าง ซึ่งขณะนี้ก็ได้รับทราบว่าลุล่วงไปแล้ว “ ทราบปัญหาว่าติดอยู่ตรงไหน แต่ห้วงเวลาที่จะก้าวไปสู่การเปิดการประมูลคงเลื่อนไปอีกนิดหน่อย แต่ว่าทำได้ สิ่งที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้บอกคือเรามีแหล่งเงินพร้อมอยู่แล้ว แต่มีปัญหาเรื่องดอกเบี้ย เราคอยดอกเบี้ยที่ถูกหน่อย” นายกรัฐมนตรีกล่าว
ต่อข้อถามถึงการมองอนาคตโอกาสของประเทศไทยจะเดินไปทางไหนหลังจากการเลือกตั้ง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คิดว่าอยู่ที่พวกเราทุกคนที่พี่น้องประชาชนที่จะช่วยกัน เบื้องต้นคือในเรื่องของการเลือกตั้ง ทำอย่างไรที่เราจะมีผู้บริหารที่ผ่านการเลือกตั้งที่โปร่งใส เป็นธรรม เป็นที่ยอมรับ ซึ่งถือว่าจะเป็นส่วนเริ่มแรก เป็นบันไดขั้นแรกของรัฐบาลต่อไป ถ้าผ่านจุดนั้นไปแล้วเราคงดูได้ว่าสิ่งที่แต่ละพรรคการเมืองแต่ละกลุ่มที่จะออกมาเสนอนโยบายต่าง ๆ และจะนำนโยบายเหล่านั้นไปปฏิบัติ ถ้าหากเป็นไปตามที่ได้กล่าวไว้ได้แถลงไว้ และสามารถนำไปปฏิบัติได้ ก็น่าจะเป็นประโยชน์ เพราะการเมืองหมายถึงว่าเราพูดกันล่วงหน้าว่าเราจะทำอะไร และเราก็พยายามทำสิ่งนั่นได้มากน้อย ก็อยู่ที่การตัดสินใจของประชาชน ขอให้พี่น้องประชาชนได้ช่วยกันร่วมมือกันที่จะให้มีการเลือกตั้งที่โปร่งใสและเป็นธรรม
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
วันนี้ เวลา 10.40 น. ณ โรงแรมอิมพีเรียล ภูแก้วฮิลล์ รีสอร์ท อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ร่วมพบปะสื่อมวลชนทำเนียบรัฐบาล ในโครงการสัมมนาสื่อมวลชนสัมพันธ์ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 — 16 กันยายน 2550 โดยมีนายอารีย์ วงศ์อารยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก พงษ์เทพ เทศประทีป เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร้อยเอก ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะเข้าร่วมด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เล่าให้สื่อมวลชนฟังว่า เมื่อปี 2511 ได้มาทำงานที่นี่ ในเรื่องของการดูแลความสงบเรียบร้อยและปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผกค.) ซึ่งพื้นที่บริเวณนี้ไม่ค่อยมีคนอยากมา เพราะมีปัญหาในเรื่องการก่อการร้าย และตรงหมู่บ้านตรงจุดนี้คือเส้นทางที่จะข้ามจากทางหินร่องกล้าไปทางเขาค้อ โดยได้ลาดตระเวนอยู่บริเวณนี้ เดินตามสันเขาทางด้านตะวันตกไปถึงเขาค้อ แต่ปัจจุบันพื้นที่บริเวณนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม ทั้งนี้ สภาพป่าหลังจากช่วงปี 2525-2526 มีผู้เข้ามาทำไร่ทำให้สภาพป่าเสื่อมโทรมลง แต่ขณะนี้ก็ฟื้นกลับขึ้นมาบ้าง สิ่งที่เห็นนี้คือความเปลี่ยนแปลง ประชาชนก็หันมาร่วมมือกันช่วยกันแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนต่าง ๆ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในวันหนึ่งหากประเทศชาติมีปัญหาในทำนองนี้ การพูดคุยกันและการทำความเข้าใจกัน ถือเป็นเรื่องที่ดี โดยเฉพาะพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเหมือนกับเขาค้อในอดีต ตรงที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนและไม่ได้รับความเป็นธรรม จนทำให้ผู้มีความคิดไม่เหมือนทางราชการ นำมาเป็นเงื่อนไขในการต่อสู้และเรียกร้องความชอบธรรม ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำขณะนี้คือการสร้างความเข้าใจให้ถูกต้องกับประชาชนและเยาวชน เน้นเรื่องการศึกษาและอาชีพ
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ปัจจุบันกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ ยังมีการปลูกฝังแนวความคิดที่ผิดแก่เยาวชนค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเยาวชนที่มีอายุ 18-30 ปี และจากการประเมินทำให้ทราบว่า ปัจจุบันมีแนวร่วมอยู่ราว ๆ 20,000 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ลดลงจากเดิมมาก ส่วนตัวเชื่อว่า หากมีรัฐบาลใหม่เข้ามาก็คงแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี ซึ่งสอดคล้องกับรัฐบาลชุดนี้ โดยต้องยอมรับว่าขณะนี้เราไม่ได้ต่อสู้กับใคร แต่เราต้องสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นกับประชาชนในพื้นที่ เพราะเป็นคนไทยด้วยกัน
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า หากวิเคราะห์แล้วสถานการณ์ที่เกิดขึ้นพบว่า พื้นที่จังหวัดปัตตานียังมีความรุนแรงมากกว่าจังหวัดยะลาและนราธิวาส แต่ขณะนี้ก็เริ่มลดลงบ้างแล้ว ส่วนเหตุที่จังหวัดปัตตานีมีการก่อเหตุบ่อยครั้ง เพราะมีพื้นที่กว้าง กลุ่มก่อความไม่สงบมีโอกาสต่อสู้ ก่อเหตุ และหลบหนีได้ง่ายกว่าจังหวัดอื่น ซึ่งทางฝ่ายความมั่นคงกำลังดูแลอยู่
หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ตอบข้อซักถามเกี่ยวกับบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปีว่า ในภาพรวมก็เป็นเรื่องที่ได้มีการหารือกันแล้ว คงไม่มีอะไรที่จะเพิ่มเติม ก็คงไม่ได้ส่งไปปรับปรุงอะไร คาดว่าในช่วงสัปดาห์นี้ คิดว่าน่าจะนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายได้ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการตรวจรายชื่อและตัวสะกดในฉบับจริง ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ทั้งนี้ การแต่งตั้งผู้บัญชาการทหารบกคนใหม่ ไม่ได้นำสถานการณ์ทางการเมืองเข้ามาพิจารณาเป็นหลัก แต่เราอยากได้คนที่มีมุมมองค่อนข้างกว้างพิจารณาเองได้ จะไม่เลือกคนที่คอยรับคำสั่ง เพราะผู้บริหารต้องคิดเองพิจารณาเอง
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ทหารต่อไปคงไม่สมควรที่จะมีบทบาทในเรื่องการทำรัฐประหารอีก เพราะปัญหาทางการเมืองก็ควรต้องแก้ไขด้วยการเมือง เรื่องนี้จึงอยากฝากประชาชนให้ดูว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นทางการเมืองควรจะได้ช่วยกันแก้ไขปัญหา เพราะปัญหาการเมืองก็ควรแก้ไขด้วยการเมือง
นายกรัฐมนตรียังมั่นใจว่าจะไม่มีความขัดแย้งภายในกองทัพ หลังการแต่งตั้งเสร็จสิ้น และผู้บัญชาการทหารบกคนใหม่ รวมถึงเหล่าทัพอื่น ควรมาดูแลเรื่องการเลือกตั้งให้เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่ใช่มารับมือกลุ่มอำนาจเก่า หรือต่อต้านการเดินทางกลับประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก และประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) จะลงเล่นการเมืองหลังเกษียณอายุราชการนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พลเอก สนธิฯ ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องอนาคตที่ไกลมากนัก แต่สิ่งที่พูดกันคือทำอย่างไรให้การแก้ไขปัญหาบ้านเมืองลุล่วง มีการเลือกตั้งที่โปร่งใสเป็นธรรม ส่วนเรื่องการตัดสินใจทำงานทางการเมืองเป็นหน้าที่ที่พลเอก สนธิฯ ต้องพิจารณาเอง ขณะนี้เราพยายามยืนอยู่บนจุดกึ่งกลางในการดูแลการเลือกตั้งให้โปร่งใสและเป็นธรรมให้มากที่สุด
ส่วนที่ว่าพลเอก สนธิฯ ทำงานการเมืองจะเป็นการสืบทอดอำนาจ และอาจทำให้ประเทศมีปัญหาหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นมุมมองแต่ละคน สิ่งที่เราได้รับข้อมูลถ้านำมาวิเคราะห์พิจารณาในภาพกว้างก็เป็นแนวคิดของแต่ละคน ที่ผ่านมาอดีตผู้บัญชาการทหารบกหลายคนก็ลงไปทำงานทางการเมือง ในปัจจุบันนี้ก็มี แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่เป็นเรื่องการสืบทอดอำนาจ และทางกองทัพคงไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง เพราะจะทำให้มีปัญหาต่อไปในระยะยาว
ผู้สื่อข่าวถามว่า มองว่าครบรอบ 1 ปี ในการทำรัฐประหารของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ในวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา ภารกิจของ คมช. สำเร็จหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนตัวคงไม่ประเมิน คมช. ว่ามีผลงานหรือไม่มีผลงานได้ เพราะต่างคนต่างมีหน้าที่ โดยรัฐบาลไม่ได้มีหน้าที่ทำงานให้กับ คมช. แต่มีหน้าที่ทำงานให้กับประชาชน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลคงไม่สามารถประเมินตัวเองได้เช่นกัน และคงไม่มีการแถลงผลงานในรอบ 1 ปี เพราะต้องให้ประชาชนเป็นผู้ประเมินเอง โดยเวลาที่เหลือ 3 เดือน คงไม่มีอะไรใหม่ แต่จะเร่งงานคั่งค้างเก่าให้แล้วเสร็จ โดยเฉพาะเรื่องของการจัดการเลือกตั้ง การศึกษา และคงไม่มีการปรับคณะรัฐมนตรีใหม่ เพราะรัฐมนตรีที่ทำงานอยู่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้ยังมีความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีนายกรัฐมนตรี ในช่วงใกล้เลือกตั้ง กังวลหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่กังวล เพราะเป็นเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณฯ จะดำเนินการ ในส่วนของรัฐบาลเมื่อกระบวนการสอบสวนเข้าสู่ขั้นตอนของศาลแล้ว ก็คงเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมที่จะดำเนินการต่อ ส่วนการติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณฯ มาดำเนินคดีนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม เมื่อจะพิจารณาคดีก็ต้องมีผู้ต้องหาเข้ามา ส่วนจะได้หรือไม่ได้ มีปัญหาอะไรคงต้องแก้ไขกันต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณฯ พยายามเรียกร้องให้ปรองดอง จนถึงขณะนี้นายกรัฐมนตรียอมรับหรือไม่ว่าคำว่า "สมานฉันท์" ใช้กับ พ.ต.ท.ทักษิณฯ ไม่ได้แล้ว นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงไม่ได้คิดจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นมา แต่กรณีที่เป็นความผิดตามกฎหมายก็คงปรองดองไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องที่จะต้องรับกรรม เราทำกรรมดีก็ต้องได้กรรมดีตอบ ถ้าเราทำในสิ่งที่ไม่ดีเราก็ต้องได้รับสิ่งเหล่านั้น สักวันหนึ่งมันก็ต้องตามทัน
ส่วนการรวมกลุ่มของกลุ่มการเมืองต่าง ๆ นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นเรื่องทางการเมือง และการจับกลุ่มเปฌนพันธมิตรทางการเมืองไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด แต่สิ่งที่อยากเห็นคือการจับกลุ่มแล้วมีความต่อเนื่อง ไม่เปลี่ยนแปลงบ่อย ถ้ามีความต่อเนื่องสภาพการเมืองก็จะมั่นคงขึ้น ทุกประเทศมีการจับกลุ่มแล้วอยู่กันนานมีความต่อเนื่อง การขัดแย้งทางความคิดถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ขอให้อยู่ในกรอบสันติวิธี ถ้าหากไม่ก้าวล่วงเข้าสู่การใช้กำลังปะทะกัน ไม่ว่าด้วยวิธีการใด นั่นจะเป็นการก้าวสู่ครรลองประชาธิปไตย
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในช่วงเวลาต่อจากนี้ของรัฐบาลจะทำงานเก่าให้เสร็จก่อน เช่น งานทางภาคใต้ และงานในส่วนอื่น ๆ ที่จำเป็น โดยคงจะมีโอกาสทำความเข้าใจให้มากขึ้นในเร็ว ๆ นี้ ทั้งในเรื่องของคน เรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่เป็นส่วนสำคัญที่รัฐบาลนี้ได้ทุ่มเท สร้างคนให้มีคุณภาพทั้งความรู้และคุณธรรม ซึ่งกระทรวงศึกษาได้ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงมาอย่างต่อเนื่อง โดยจะได้มีโอกาสทำความเข้าใจและชี้แจงให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบประมาณเดือนตุลาคมนี้ถึงทิศทางว่าเราจะไปทางไหนกันอย่างไร
ส่วนการดำเนินงานทางด้านเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าได้พูดกับนักลงทุนต่างประเทศไปแล้วว่าเราจะทำอะไรบ้าง โดยหลัก ๆ เป็นเรื่องการรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทที่จะทำต่อไป ด้านการลงทุนในโครงการเมกกะโปรเจคท์ที่ยังมีปัญหาอยู่บ้างในเรื่องของการลงทุน ที่เราจะต้องตอบแหล่งเงินกู้ให้ได้ก่อนในเรื่องของการแยกส่วนบริหารจัดการระบบราง ตัวตู้รถ ว่าใครจะเป็นผู้บริหารจัดการ เป็นผู้ก่อสร้าง ซึ่งขณะนี้ก็ได้รับทราบว่าลุล่วงไปแล้ว “ ทราบปัญหาว่าติดอยู่ตรงไหน แต่ห้วงเวลาที่จะก้าวไปสู่การเปิดการประมูลคงเลื่อนไปอีกนิดหน่อย แต่ว่าทำได้ สิ่งที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้บอกคือเรามีแหล่งเงินพร้อมอยู่แล้ว แต่มีปัญหาเรื่องดอกเบี้ย เราคอยดอกเบี้ยที่ถูกหน่อย” นายกรัฐมนตรีกล่าว
ต่อข้อถามถึงการมองอนาคตโอกาสของประเทศไทยจะเดินไปทางไหนหลังจากการเลือกตั้ง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คิดว่าอยู่ที่พวกเราทุกคนที่พี่น้องประชาชนที่จะช่วยกัน เบื้องต้นคือในเรื่องของการเลือกตั้ง ทำอย่างไรที่เราจะมีผู้บริหารที่ผ่านการเลือกตั้งที่โปร่งใส เป็นธรรม เป็นที่ยอมรับ ซึ่งถือว่าจะเป็นส่วนเริ่มแรก เป็นบันไดขั้นแรกของรัฐบาลต่อไป ถ้าผ่านจุดนั้นไปแล้วเราคงดูได้ว่าสิ่งที่แต่ละพรรคการเมืองแต่ละกลุ่มที่จะออกมาเสนอนโยบายต่าง ๆ และจะนำนโยบายเหล่านั้นไปปฏิบัติ ถ้าหากเป็นไปตามที่ได้กล่าวไว้ได้แถลงไว้ และสามารถนำไปปฏิบัติได้ ก็น่าจะเป็นประโยชน์ เพราะการเมืองหมายถึงว่าเราพูดกันล่วงหน้าว่าเราจะทำอะไร และเราก็พยายามทำสิ่งนั่นได้มากน้อย ก็อยู่ที่การตัดสินใจของประชาชน ขอให้พี่น้องประชาชนได้ช่วยกันร่วมมือกันที่จะให้มีการเลือกตั้งที่โปร่งใสและเป็นธรรม
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--