นายกรัฐมนตรีปิดการสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 25 พร้อมขอให้ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ โดยยึดแนวทางสันติวิธี
วันนี้ เวลา 10.30 น. พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เป็นประธานในพิธีปิดการสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 25 และกล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “เศรษฐกิจไทยมั่นคงและยั่งยืนได้ด้วยคุณธรรม” ณ โรงแรมฮอลิเดย์อินน์ รีเจนท์ รีสอร์ท บีช ชะอำ จังหวัดเพชรบุรี
นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย ได้กล่าวรายงานโดยสรุปว่า การสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ เป็นกิจกรรมที่สำคัญของหอการค้าไทย และหอการค้าจังหวัดทั่วประเทศ ที่ได้ดำเนินการต่อเนื่องกันมาเป็นประจำทุกปี หมุนเวียนไปในแต่ละภาค ในปีนี้นับเป็นปีที่ 25 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้บริหารหอการค้าทั่วประเทศได้มีโอกาสพบปะแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น และเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหอการค้าจังหวัดกับหน่วยงานภาครัฐทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคให้มีความใกล้ชิด ร่วมคิด ร่วมทำ นำมาพัฒนาและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งเพื่อส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวภายในจังหวัดที่จัดการสัมมนาและจังหวัดใกล้เคียงด้วย ซึ่งการจัดสัมมนาฯ ในปีนี้ หอการค้าไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจเอกชนของไทย จึงได้กำหนดหัวข้อหลักของการสัมมนาในปีนี้คือ “การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเศรษฐกิจไทย” โดยมีการสัมมนาทั้งภาคเช้าและภาคบ่าย นอกจากนี้ ในฐานะที่หอการค้าฯ เป็นองค์กรนำของภาคเอกชนพร้อมที่จะร่วมมือกับรัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐทั้งในระดับชาติและระดับภูมิภาคในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้สอดคล้องและดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน โดยมีเจตนารมณ์แน่วแน่ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการส่งเสริมคนดีและสังคมที่ดี เพื่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศอย่างยั่งยืน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จากการรายงานสรุปผลการสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 25 นั้น หอการค้าได้มองเศรษฐกิจในภาพรวมบนพื้นฐานข้อมูล ความรู้และการมีส่วนร่วมมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชทานไว้ ด้วยการให้ความสำคัญเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในด้านความรู้และคุณธรรม รวมทั้งการใช้ทรัพยากรให้เกิดความสมดุล โดยมีหลักการสำคัญคือการวิเคราะห์ปัญหาบนพื้นฐานความรู้และข้อมูลได้อย่างตรงประเด็น นอกจากจะทำให้สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ แล้ว ยังเป็นการเตรียมป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งถือเป็นการสร้างภูมิคุ้มกัน
ในส่วนของรัฐบาลได้ปรับปรุงแก้ไขวิธีการจัดบริหารจัดการงบประมาณ ซึ่งจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2552 โดยกระจายอำนาจการบริหารจัดการไปสู่การปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุขของรัฐบาล ที่ต้องการให้ชุมชนมีความเข้มแข็ง เพื่อเป็นฐานที่สำคัญขององค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งจะเป็นศูนย์รวมในการดูภาพรวมและบูรณาการโครงการต่างๆ เพื่อจัดทำงบประมาณในปีต่อไป
สำหรับภาคธุรกิจนั้น การดำเนินงานด้วยความซื่อสัตย์และคุณธรรมบนพื้นฐานของความเท่าเทียมกัน จะสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ธุรกิจได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่จะเป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งรัฐบาลมีแนวคิดที่จะเพิ่มประสิทธิภาพอุตสาหกรรมยานยนต์ ด้วยโครงการ ECO-CAR คือพัฒนารถยนต์ที่มีความจุกระบอกสูบต่ำกว่า 1,500 ซีซี ประหยัดพลังงาน และมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลง รวมทั้ง อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพในการลงทุนมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนของประเทศคือปัญหาสถานการณ์ทางภาคใต้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน เพราะเป็นปัญหาในเรื่องของสังคม เนื่องจากความคิดที่แตกต่างกันที่อาจถูกบิดเบือน จากภาษาที่ไม่เข้าใจกัน ภายใต้ขนบธรรมเนียมประเพณีและศาสนาที่แตกต่างกัน ดังนั้น การสร้างความเข้าใจ การสร้างการศึกษาให้ดีขึ้น เพื่อสร้างความหวังในสังคม ซึ่งเป็นส่วนที่คนไทยทุกคนต้องมีส่วนร่วมกับภาครัฐในการแก้ไขปัญหา ทั้งนี้ รัฐบาลได้ดำเนินการสร้างความเข้าใจกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศมุสลิม ว่าปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ใช่เรื่องของการกีดกันทางศาสนา แต่เป็นปัญหาทางด้านสังคม ซึ่งสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย โดยรัฐบาลเน้นการแก้ไขปัญหาบนพื้นฐานการบริหารจัดการ ซึ่งเป็นการเตรียมการแก้ไขปัญหาอื่นๆ ได้อีกด้วย อาทิ ปัญหายาเสพติด ปัญหาผู้หลบหนีข้ามแดนโดยผิดกฎหมาย ที่เราจะต้องดูแลให้เกิดความเป็นธรรมทั้งในด้านกฎหมาย และความเป็นธรรมในกฎบัตรของอาเซียนเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในกลุ่มประเทศอาเซียน
สำหรับเรื่องการทำงานร่วมกันกับภาครัฐนั้น นายกรัฐมนตรีให้ข้อเสนอแนะว่าควรร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างๆ เป็นส่วนเชื่อม เพราะเป็นแหล่งสะสมความรู้ สร้างคนและสร้างงานวิจัยต่างๆ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาในด้านต่างๆ โดยใช้ระบบเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรภายใต้โครงการอยู่ดีมีสุข คือการสร้างชุมชนให้เข้มแข็งผ่านผู้นำที่ดี รวมถึงการประหยัดพลังงานนายกรัฐมนตรีกล่าวเน้นย้ำความสำคัญของการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ว่าเป็นการเลือกพรรคการเมืองมาทำหน้าที่ด้านนิติบัญญัติในการบริหารประเทศในภาพรวม เพื่อสร้างสังคมที่ดีและมีความเข้มแข็ง ที่จะส่งผลต่อความมั่นคงในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคงภายในประเทศ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
วันนี้ เวลา 10.30 น. พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เป็นประธานในพิธีปิดการสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 25 และกล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “เศรษฐกิจไทยมั่นคงและยั่งยืนได้ด้วยคุณธรรม” ณ โรงแรมฮอลิเดย์อินน์ รีเจนท์ รีสอร์ท บีช ชะอำ จังหวัดเพชรบุรี
นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย ได้กล่าวรายงานโดยสรุปว่า การสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ เป็นกิจกรรมที่สำคัญของหอการค้าไทย และหอการค้าจังหวัดทั่วประเทศ ที่ได้ดำเนินการต่อเนื่องกันมาเป็นประจำทุกปี หมุนเวียนไปในแต่ละภาค ในปีนี้นับเป็นปีที่ 25 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้บริหารหอการค้าทั่วประเทศได้มีโอกาสพบปะแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น และเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหอการค้าจังหวัดกับหน่วยงานภาครัฐทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคให้มีความใกล้ชิด ร่วมคิด ร่วมทำ นำมาพัฒนาและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งเพื่อส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวภายในจังหวัดที่จัดการสัมมนาและจังหวัดใกล้เคียงด้วย ซึ่งการจัดสัมมนาฯ ในปีนี้ หอการค้าไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจเอกชนของไทย จึงได้กำหนดหัวข้อหลักของการสัมมนาในปีนี้คือ “การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเศรษฐกิจไทย” โดยมีการสัมมนาทั้งภาคเช้าและภาคบ่าย นอกจากนี้ ในฐานะที่หอการค้าฯ เป็นองค์กรนำของภาคเอกชนพร้อมที่จะร่วมมือกับรัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐทั้งในระดับชาติและระดับภูมิภาคในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้สอดคล้องและดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน โดยมีเจตนารมณ์แน่วแน่ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการส่งเสริมคนดีและสังคมที่ดี เพื่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศอย่างยั่งยืน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จากการรายงานสรุปผลการสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 25 นั้น หอการค้าได้มองเศรษฐกิจในภาพรวมบนพื้นฐานข้อมูล ความรู้และการมีส่วนร่วมมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชทานไว้ ด้วยการให้ความสำคัญเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในด้านความรู้และคุณธรรม รวมทั้งการใช้ทรัพยากรให้เกิดความสมดุล โดยมีหลักการสำคัญคือการวิเคราะห์ปัญหาบนพื้นฐานความรู้และข้อมูลได้อย่างตรงประเด็น นอกจากจะทำให้สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ แล้ว ยังเป็นการเตรียมป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งถือเป็นการสร้างภูมิคุ้มกัน
ในส่วนของรัฐบาลได้ปรับปรุงแก้ไขวิธีการจัดบริหารจัดการงบประมาณ ซึ่งจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2552 โดยกระจายอำนาจการบริหารจัดการไปสู่การปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุขของรัฐบาล ที่ต้องการให้ชุมชนมีความเข้มแข็ง เพื่อเป็นฐานที่สำคัญขององค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งจะเป็นศูนย์รวมในการดูภาพรวมและบูรณาการโครงการต่างๆ เพื่อจัดทำงบประมาณในปีต่อไป
สำหรับภาคธุรกิจนั้น การดำเนินงานด้วยความซื่อสัตย์และคุณธรรมบนพื้นฐานของความเท่าเทียมกัน จะสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ธุรกิจได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่จะเป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งรัฐบาลมีแนวคิดที่จะเพิ่มประสิทธิภาพอุตสาหกรรมยานยนต์ ด้วยโครงการ ECO-CAR คือพัฒนารถยนต์ที่มีความจุกระบอกสูบต่ำกว่า 1,500 ซีซี ประหยัดพลังงาน และมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลง รวมทั้ง อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพในการลงทุนมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนของประเทศคือปัญหาสถานการณ์ทางภาคใต้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน เพราะเป็นปัญหาในเรื่องของสังคม เนื่องจากความคิดที่แตกต่างกันที่อาจถูกบิดเบือน จากภาษาที่ไม่เข้าใจกัน ภายใต้ขนบธรรมเนียมประเพณีและศาสนาที่แตกต่างกัน ดังนั้น การสร้างความเข้าใจ การสร้างการศึกษาให้ดีขึ้น เพื่อสร้างความหวังในสังคม ซึ่งเป็นส่วนที่คนไทยทุกคนต้องมีส่วนร่วมกับภาครัฐในการแก้ไขปัญหา ทั้งนี้ รัฐบาลได้ดำเนินการสร้างความเข้าใจกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศมุสลิม ว่าปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ใช่เรื่องของการกีดกันทางศาสนา แต่เป็นปัญหาทางด้านสังคม ซึ่งสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย โดยรัฐบาลเน้นการแก้ไขปัญหาบนพื้นฐานการบริหารจัดการ ซึ่งเป็นการเตรียมการแก้ไขปัญหาอื่นๆ ได้อีกด้วย อาทิ ปัญหายาเสพติด ปัญหาผู้หลบหนีข้ามแดนโดยผิดกฎหมาย ที่เราจะต้องดูแลให้เกิดความเป็นธรรมทั้งในด้านกฎหมาย และความเป็นธรรมในกฎบัตรของอาเซียนเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในกลุ่มประเทศอาเซียน
สำหรับเรื่องการทำงานร่วมกันกับภาครัฐนั้น นายกรัฐมนตรีให้ข้อเสนอแนะว่าควรร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างๆ เป็นส่วนเชื่อม เพราะเป็นแหล่งสะสมความรู้ สร้างคนและสร้างงานวิจัยต่างๆ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาในด้านต่างๆ โดยใช้ระบบเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรภายใต้โครงการอยู่ดีมีสุข คือการสร้างชุมชนให้เข้มแข็งผ่านผู้นำที่ดี รวมถึงการประหยัดพลังงานนายกรัฐมนตรีกล่าวเน้นย้ำความสำคัญของการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ว่าเป็นการเลือกพรรคการเมืองมาทำหน้าที่ด้านนิติบัญญัติในการบริหารประเทศในภาพรวม เพื่อสร้างสังคมที่ดีและมีความเข้มแข็ง ที่จะส่งผลต่อความมั่นคงในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคงภายในประเทศ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--