นายกรัฐมนตรีเปิดบ้านพักบนเขายายเที่ยงให้สื่อมวลชนเยี่ยมชม พร้อมเปิดใจหลังหมดภาระแล้วคงจะมาใช้ชีวิตส่วนตัวอยู่ที่บ้านพักแห่งนี้ และย้ำไม่คิดกลับมาเล่นการเมืองอีก
เมื่อเวลา 10.00 น. พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยพันเอกหญิง ท่านผู้หญิงจิตรวดี จุลานนท์ ภริยา ได้เปิดบ้านพักบนเขายายเที่ยง ตำบลคลองไผ่ อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ให้สื่อมวลชนเข้าเยี่ยมชม โดยนายกรัฐมนตรีได้นำชมบริเวณบ้านด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม อารมณ์ดี โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาด้านหลังบ้าน ซึ่งเป็นมุมโปรด เพราะสามารถมองเห็นจุดชมวิวของลำตะคอง และอำเภอเขาช่องได้ทั้งหมด
โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า มักจะใช้จุดตรงนี้เป็นที่พักผ่อน อ่านหนังสือ มานั่งแล้วสบายใจ มองไปข้างล่างเหมือนเมืองตุ๊กตา และเมื่อหมดภาระการเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วจะมาใช้ชีวิตส่วนใหญ่บนเขายายเที่ยง ส่วนที่มีการวิเคราะห์ว่าจะได้กลับไปทำหน้าที่เป็นองคมนตรีอีกครั้งนั้น ยังไม่อยากพูดถึง เพราะเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ความหวังของตนเองในขณะนี้คือการหมดภาระหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยเร็ววัน
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้ชี้ให้ผู้สื่อข่าวดูบ้านพักของนายไพโรจน์ รัตตกุล ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่อยู่บริเวณใกล้เคียงภายในรั้วเดียวกัน โดยกล่าวว่าบ้านหลังดังกล่าวนายไพโรจน์มาขอสร้างเพื่อเป็นที่พักผ่อน ครั้งแรกจะขอซื้อที่ แต่ขายให้ไม่ได้ เพราะไม่มีโฉนด และบ้านหลังนี้ก็เป็นที่มาของข่าวที่มีโบกี้รถไฟของนายกฯ ซึ่งความจริงไม่มี แต่ถ้าถ่ายไกล ๆ มายังหลังคาบ้านก็มีความคล้าย หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรีได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับผู้สื่อข่าว ซึ่งได้จัดซุ้มอาหารพื้นเมืองไว้ต้อนรับ อาทิ ส้มตำ ไก่ย่าง ผัดหมี่โคราช เป็นต้น ทางด้านท่านผู้หญิงจิตรวดีก็ได้เปิดให้สื่อมวลชนเข้าไปดูถึงภายในบ้านพักที่ใช้เป็นห้องนอน โดยเป็นเพียงห้องโล่ง ๆ มีเปลสนามไว้นอนเท่านั้น
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงกรณีที่มีหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลเกียร์ว่างว่า การที่เป็นรัฐบาลก็ไม่ได้แปลว่าจะทำอะไรได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเสนอกฎหมายเข้าสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ก็ทำได้ลำบาก หรือเรื่องที่ให้จัดการกับอำนาจเก่าก็เป็นเรื่องที่ยาก เพราะมีแต่ข้าราชการ ที่ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลก็ต้องทำงาน ดังนั้น แต่ละเรื่องไม่ได้ทำได้ง่ายๆ แม้กระทั่งการสร้างความสมานฉันท์ที่ได้ประกาศไว้ เพราะคนที่มองว่าเป็นพวกเดียวกัน เช่น กลุ่มพันธมิตร ก็ไม่ได้มองว่าเราเป็นพวกเดียวกัน ทำให้ทำงานลำบาก ทั้งนี้ การสร้างความสมานฉันท์นั้น ถ้าใช้วิธีพูดคุยกันได้ก็จะเป็นประโยชน์ ซึ่งในช่วงต้นที่เข้ามาทำหน้าที่ก็พยายามที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง และพยายามที่จะเป็นตัวกลางประสานกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่โทรศัพท์มาหา จากนั้นก็นำคำพูดของพ.ต.ท.ทักษิณไปบอกกับพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน แต่ต่างฝ่ายก็ต่างมีทิฐิต่อกัน ทำให้ยังมีปัญหา
ผู้สื่อข่าวถามว่า แต่ในบ้านเมืองเราแบ่งกันเป็นคนละขั้วชัดเจน นายกรัฐมนตรี ตอบว่า พอถึงระยะหนึ่งมันก็จบ เพราะทุกอย่างเป็นไปตามวงรอบ มีเกิดก็ต้องมีดับ ส่วนจะไปถึงจุดนั้นเมื่อไรคงตอบไม่ได้ เหมือนกับเพลงของทหารเรือที่บอกว่าเรื่องอนาคตเราไม่รู้ แต่ถึงไม่รู้เราก็ต้องเดินหน้าต่อไป ซึ่งการแก้ไขปัญหาทั้งหมดก็ต้องมาสู่จุดของการพูดคุยหารือและลดทิฐิก็จะมีทางออก
“หลังจากนี้ผมคงจะไม่มายุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกแล้ว เพราะชีวิตผมไม่เคยชอบและคิดที่จะเข้ามาเล่นการเมือง เพราะครอบครัวของผมเจ็บปวดมามากพอแล้ว คุณตาของผมก็ถูกยิงเสียชีวิตที่นี่ ส่วนพ่อก็ไปเสียชีวิตที่ประเทศจีน ผมรู้สึกดีถึงความสูญเสีย ก็ไม่อยากให้ครอบครัว และลูกต้องรู้สึกสูญเสียเหมือนอย่างผม ซึ่งเมื่อผมลงจากตำแหน่งไป และมีรัฐบาลใหม่เข้ามา แม้นโยบายที่ดี ๆ จะเปลี่ยนไป ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลใหม่ ผมคงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว หรือขอรับเป็นที่ปรึกษาก็ไม่ขอรับ เพราะผมเข็ดกับการเมืองมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งเข็ดตอนนี้ ” นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงกระแสข่าวความขัดแย้งกับ พล.อ.สนธิ ว่า ไม่ได้มีปัญหาหรือมีความขัดแย้งอะไร แต่คงไม่ถึงขั้นเป็นคอหอยกับลูกกระเดือก ยังทำงานด้วยกัน และรู้ว่าใครมีขีดความสามารถแค่ไหน
ผู้สื่อข่าวถามถึงความขัดแย้งระหว่างนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน กับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็รู้จักนายสมัครเป็นการส่วนตัว สมัยเป็นรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี แต่ก็ไม่ทราบว่านายสมัครมีปัญหาอะไรกับพล.อ.เปรม เพราะอดีตที่ผ่านมาก็ไม่มีปัญหาอะไร และก็รู้ ๆ กันว่าพล.อ.เปรม เป็นคนที่จะไม่ค่อยจะพูดจาอะไรมากมาย แต่การที่จะนำพล.อ.เปรมมาเชื่อมโยงกับเรื่องต่าง ๆ เป็นเรื่องที่ควรระมัดระวัง ถ้าไม่ทำได้ หรือเบา ๆ ลงหน่อยก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะในฐานะที่เป็นประธานองคมนตรีไม่ควรจะถูกนำมาเชื่อมโยงกับเรื่องใด ๆ เพราะเมื่อเป็นข่าวก็มักจะถูกนำไปเชื่อมโยงกับสถาบัน สำนักข่าวต่างประเทศก็จับตามองอยู่ ทำให้เกิดผลเสีย ดังนั้น ถ้าผู้ที่เกี่ยวข้องลดการทำให้เกิดความขัดแย้งเหมือนอย่างที่เราใส่เสื้อเรารักในหลวง แต่ถ้าไม่ปฏิบัติตาม ในหลวงก็เหนื่อย เพราะพระพลานามัยของท่านก็ยังไม่แข็งแรง พระเพลาก็ไม่แข็งแรง ดังนั้น เราคนไทยต้องมาดูว่าจะช่วยกันได้อย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดว่านายสมัครจะเพลาการโจมตีพล.อ.เปรมลงได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ทราบ ตอบแทนคนอื่นไม่ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ก่อนที่จะลงจากตำแหน่งจะเป็นตัวเชื่อมให้ทุกฝ่ายมาพูดจาหารือเพื่อให้ยุติความขัดแย้งหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่แน่ใจว่าจะเป็นไปได้ในระยะเวลาสั้น ๆ นี้ได้หรือไม่ เพราะอดีตที่ผ่านมาเราต้องใช้เวลานาน ส่วนจะคุยกับพรรคพลังประชาชนหรือแกนนำรัฐบาลใหม่เพื่อขอไม่ให้พูดจาพาดพิงถึงพล.อ.เปรมหรือไม่นั้น ในขณะนี้คงจะยังไม่มีโอกาส เพราะเรื่องเฉพาะหน้าคือการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ต้องทำส่วนนี้ก่อน เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทั้งนี้ เวลาจะช่วยให้เรื่องราวต่าง ๆ ผ่านไปได้ แต่ต้องไม่ทำเรื่องใหม่เพิ่มเข้าไปอีก บาดแผลที่มีอยู่ก็จะค่อย ๆ รักษาตัวเอง
ผู้สื่อข่าวถามว่า มองว่านายสมัครเป็นนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่นายสมัครตอบคำถามสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา ถือว่าดีที่สุดแล้ว เพราะการเลือกนายกรัฐมนตรีต้องเลือกในสภาฯ ไม่ใช่เลือกข้างหน้า คือพรรคร่วมรัฐบาลต้องหารือกันแล้วไปโหวตในสภาฯ ส่วนนายสมัครมีคุณสมบัติที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่นั้น ไม่ขอพูดในเรื่องของตัวบุคคล อยู่ที่พรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องจะโหวตให้ อย่างไรก็ตาม ถ้าถามในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่ง ก็อยากได้นายกรัฐมนตรีที่มีความซื่อสัตย์ ซื่อตรง ทำงานเพื่อส่วนรวม และมีความจงรักภักดีต่อสถาบัน และเมื่อได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ก็จะหาโอกาสพูดคุยเพื่อฝากงานต่อกับนายกรัฐมนตรีคนใหม่อย่างเปิดเผยต่อไป สำหรับผลการเลือกตั้งที่ออกมาก็ถือว่าตรงใจ เพราะคนที่เลือกก็ได้เข้ามา ส่วนที่พรรคพลังประชาชนได้เป็นรัฐบาลอีกนั้น เราก็ต้องยอมรับผลการตัดสินของประชาชน เสียงส่วนน้อยก็ต้องยอมรับเสียงส่วนใหญ่
ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดว่าหลังจากเลือกตั้งแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ควรเดินทางกลับประเทศเลยหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับ พ.ต.ท.ทักษิณว่าจะตัดสินใจอย่างไร เป็นสิทธิของพ.ต.ท.ทักษิณ แต่ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากให้กลับมาต่อสู้ในทางคดี ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดี ส่วนที่คุณหญิงพจมาน ชินวัตร เดินทางกลับมาก่อนนั้น ไม่รู้ว่ามีเจตนาอะไร และไม่คิดว่าเป็นการกรุยทางเพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมา ทั้งนี้ หลังจากที่คุณหญิงพจมานกลับมาแล้ว ก็ยังไม่มีโอกาสได้คุยกันเลย
ผู้สื่อข่าวถามว่า จนถึงวันนี้คิดว่าพ.ต.ท.ทักษิณยังมีอิทธิพลในเมืองไทยมากน้อยแค่ไหน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีมาถึง 6 ปีก็ต้องมีพวก มีเพื่อน รวมทั้งมีเงินด้วย สังคมก็มองเหมือนกันว่าคนที่อยู่ในฐานะแบบนี้ก็น่าจะมีบารมีและอิทธิพลบ้าง เพราะไปถามชาวบ้านในต่างจังหวัดส่วนใหญ่ก็ยังมีความชื่นชอบในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ส่วนอนาคตความเชื่อมั่นและบารมีในตัวคุณทักษิณจะเป็นอย่างไร คงตอบไม่ได้ แต่วันนี้ก็วิเคราะห์ได้ว่ายังมีบารมีอยู่ ตัวคุณทักษิณเองอยากกลับมาในเมืองไทย โดยให้เหตุผลว่าเป็นห่วงครอบครัว ซึ่งตนได้นำสิ่งเหล่านี้ไปพูดคุยกับ พล.อ.สนธิว่ามีทางดำเนินการอย่างไร แต่จนถึงวันนี้ก็ไม่มีอะไรคืบหน้าไปมากกว่าเดิม
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
เมื่อเวลา 10.00 น. พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยพันเอกหญิง ท่านผู้หญิงจิตรวดี จุลานนท์ ภริยา ได้เปิดบ้านพักบนเขายายเที่ยง ตำบลคลองไผ่ อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ให้สื่อมวลชนเข้าเยี่ยมชม โดยนายกรัฐมนตรีได้นำชมบริเวณบ้านด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม อารมณ์ดี โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาด้านหลังบ้าน ซึ่งเป็นมุมโปรด เพราะสามารถมองเห็นจุดชมวิวของลำตะคอง และอำเภอเขาช่องได้ทั้งหมด
โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า มักจะใช้จุดตรงนี้เป็นที่พักผ่อน อ่านหนังสือ มานั่งแล้วสบายใจ มองไปข้างล่างเหมือนเมืองตุ๊กตา และเมื่อหมดภาระการเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วจะมาใช้ชีวิตส่วนใหญ่บนเขายายเที่ยง ส่วนที่มีการวิเคราะห์ว่าจะได้กลับไปทำหน้าที่เป็นองคมนตรีอีกครั้งนั้น ยังไม่อยากพูดถึง เพราะเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ความหวังของตนเองในขณะนี้คือการหมดภาระหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยเร็ววัน
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้ชี้ให้ผู้สื่อข่าวดูบ้านพักของนายไพโรจน์ รัตตกุล ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่อยู่บริเวณใกล้เคียงภายในรั้วเดียวกัน โดยกล่าวว่าบ้านหลังดังกล่าวนายไพโรจน์มาขอสร้างเพื่อเป็นที่พักผ่อน ครั้งแรกจะขอซื้อที่ แต่ขายให้ไม่ได้ เพราะไม่มีโฉนด และบ้านหลังนี้ก็เป็นที่มาของข่าวที่มีโบกี้รถไฟของนายกฯ ซึ่งความจริงไม่มี แต่ถ้าถ่ายไกล ๆ มายังหลังคาบ้านก็มีความคล้าย หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรีได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับผู้สื่อข่าว ซึ่งได้จัดซุ้มอาหารพื้นเมืองไว้ต้อนรับ อาทิ ส้มตำ ไก่ย่าง ผัดหมี่โคราช เป็นต้น ทางด้านท่านผู้หญิงจิตรวดีก็ได้เปิดให้สื่อมวลชนเข้าไปดูถึงภายในบ้านพักที่ใช้เป็นห้องนอน โดยเป็นเพียงห้องโล่ง ๆ มีเปลสนามไว้นอนเท่านั้น
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงกรณีที่มีหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลเกียร์ว่างว่า การที่เป็นรัฐบาลก็ไม่ได้แปลว่าจะทำอะไรได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเสนอกฎหมายเข้าสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ก็ทำได้ลำบาก หรือเรื่องที่ให้จัดการกับอำนาจเก่าก็เป็นเรื่องที่ยาก เพราะมีแต่ข้าราชการ ที่ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลก็ต้องทำงาน ดังนั้น แต่ละเรื่องไม่ได้ทำได้ง่ายๆ แม้กระทั่งการสร้างความสมานฉันท์ที่ได้ประกาศไว้ เพราะคนที่มองว่าเป็นพวกเดียวกัน เช่น กลุ่มพันธมิตร ก็ไม่ได้มองว่าเราเป็นพวกเดียวกัน ทำให้ทำงานลำบาก ทั้งนี้ การสร้างความสมานฉันท์นั้น ถ้าใช้วิธีพูดคุยกันได้ก็จะเป็นประโยชน์ ซึ่งในช่วงต้นที่เข้ามาทำหน้าที่ก็พยายามที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง และพยายามที่จะเป็นตัวกลางประสานกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่โทรศัพท์มาหา จากนั้นก็นำคำพูดของพ.ต.ท.ทักษิณไปบอกกับพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน แต่ต่างฝ่ายก็ต่างมีทิฐิต่อกัน ทำให้ยังมีปัญหา
ผู้สื่อข่าวถามว่า แต่ในบ้านเมืองเราแบ่งกันเป็นคนละขั้วชัดเจน นายกรัฐมนตรี ตอบว่า พอถึงระยะหนึ่งมันก็จบ เพราะทุกอย่างเป็นไปตามวงรอบ มีเกิดก็ต้องมีดับ ส่วนจะไปถึงจุดนั้นเมื่อไรคงตอบไม่ได้ เหมือนกับเพลงของทหารเรือที่บอกว่าเรื่องอนาคตเราไม่รู้ แต่ถึงไม่รู้เราก็ต้องเดินหน้าต่อไป ซึ่งการแก้ไขปัญหาทั้งหมดก็ต้องมาสู่จุดของการพูดคุยหารือและลดทิฐิก็จะมีทางออก
“หลังจากนี้ผมคงจะไม่มายุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกแล้ว เพราะชีวิตผมไม่เคยชอบและคิดที่จะเข้ามาเล่นการเมือง เพราะครอบครัวของผมเจ็บปวดมามากพอแล้ว คุณตาของผมก็ถูกยิงเสียชีวิตที่นี่ ส่วนพ่อก็ไปเสียชีวิตที่ประเทศจีน ผมรู้สึกดีถึงความสูญเสีย ก็ไม่อยากให้ครอบครัว และลูกต้องรู้สึกสูญเสียเหมือนอย่างผม ซึ่งเมื่อผมลงจากตำแหน่งไป และมีรัฐบาลใหม่เข้ามา แม้นโยบายที่ดี ๆ จะเปลี่ยนไป ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลใหม่ ผมคงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว หรือขอรับเป็นที่ปรึกษาก็ไม่ขอรับ เพราะผมเข็ดกับการเมืองมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งเข็ดตอนนี้ ” นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงกระแสข่าวความขัดแย้งกับ พล.อ.สนธิ ว่า ไม่ได้มีปัญหาหรือมีความขัดแย้งอะไร แต่คงไม่ถึงขั้นเป็นคอหอยกับลูกกระเดือก ยังทำงานด้วยกัน และรู้ว่าใครมีขีดความสามารถแค่ไหน
ผู้สื่อข่าวถามถึงความขัดแย้งระหว่างนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน กับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็รู้จักนายสมัครเป็นการส่วนตัว สมัยเป็นรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี แต่ก็ไม่ทราบว่านายสมัครมีปัญหาอะไรกับพล.อ.เปรม เพราะอดีตที่ผ่านมาก็ไม่มีปัญหาอะไร และก็รู้ ๆ กันว่าพล.อ.เปรม เป็นคนที่จะไม่ค่อยจะพูดจาอะไรมากมาย แต่การที่จะนำพล.อ.เปรมมาเชื่อมโยงกับเรื่องต่าง ๆ เป็นเรื่องที่ควรระมัดระวัง ถ้าไม่ทำได้ หรือเบา ๆ ลงหน่อยก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะในฐานะที่เป็นประธานองคมนตรีไม่ควรจะถูกนำมาเชื่อมโยงกับเรื่องใด ๆ เพราะเมื่อเป็นข่าวก็มักจะถูกนำไปเชื่อมโยงกับสถาบัน สำนักข่าวต่างประเทศก็จับตามองอยู่ ทำให้เกิดผลเสีย ดังนั้น ถ้าผู้ที่เกี่ยวข้องลดการทำให้เกิดความขัดแย้งเหมือนอย่างที่เราใส่เสื้อเรารักในหลวง แต่ถ้าไม่ปฏิบัติตาม ในหลวงก็เหนื่อย เพราะพระพลานามัยของท่านก็ยังไม่แข็งแรง พระเพลาก็ไม่แข็งแรง ดังนั้น เราคนไทยต้องมาดูว่าจะช่วยกันได้อย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดว่านายสมัครจะเพลาการโจมตีพล.อ.เปรมลงได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ทราบ ตอบแทนคนอื่นไม่ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ก่อนที่จะลงจากตำแหน่งจะเป็นตัวเชื่อมให้ทุกฝ่ายมาพูดจาหารือเพื่อให้ยุติความขัดแย้งหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่แน่ใจว่าจะเป็นไปได้ในระยะเวลาสั้น ๆ นี้ได้หรือไม่ เพราะอดีตที่ผ่านมาเราต้องใช้เวลานาน ส่วนจะคุยกับพรรคพลังประชาชนหรือแกนนำรัฐบาลใหม่เพื่อขอไม่ให้พูดจาพาดพิงถึงพล.อ.เปรมหรือไม่นั้น ในขณะนี้คงจะยังไม่มีโอกาส เพราะเรื่องเฉพาะหน้าคือการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ต้องทำส่วนนี้ก่อน เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทั้งนี้ เวลาจะช่วยให้เรื่องราวต่าง ๆ ผ่านไปได้ แต่ต้องไม่ทำเรื่องใหม่เพิ่มเข้าไปอีก บาดแผลที่มีอยู่ก็จะค่อย ๆ รักษาตัวเอง
ผู้สื่อข่าวถามว่า มองว่านายสมัครเป็นนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่นายสมัครตอบคำถามสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา ถือว่าดีที่สุดแล้ว เพราะการเลือกนายกรัฐมนตรีต้องเลือกในสภาฯ ไม่ใช่เลือกข้างหน้า คือพรรคร่วมรัฐบาลต้องหารือกันแล้วไปโหวตในสภาฯ ส่วนนายสมัครมีคุณสมบัติที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่นั้น ไม่ขอพูดในเรื่องของตัวบุคคล อยู่ที่พรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องจะโหวตให้ อย่างไรก็ตาม ถ้าถามในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่ง ก็อยากได้นายกรัฐมนตรีที่มีความซื่อสัตย์ ซื่อตรง ทำงานเพื่อส่วนรวม และมีความจงรักภักดีต่อสถาบัน และเมื่อได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ก็จะหาโอกาสพูดคุยเพื่อฝากงานต่อกับนายกรัฐมนตรีคนใหม่อย่างเปิดเผยต่อไป สำหรับผลการเลือกตั้งที่ออกมาก็ถือว่าตรงใจ เพราะคนที่เลือกก็ได้เข้ามา ส่วนที่พรรคพลังประชาชนได้เป็นรัฐบาลอีกนั้น เราก็ต้องยอมรับผลการตัดสินของประชาชน เสียงส่วนน้อยก็ต้องยอมรับเสียงส่วนใหญ่
ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดว่าหลังจากเลือกตั้งแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ควรเดินทางกลับประเทศเลยหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับ พ.ต.ท.ทักษิณว่าจะตัดสินใจอย่างไร เป็นสิทธิของพ.ต.ท.ทักษิณ แต่ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากให้กลับมาต่อสู้ในทางคดี ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดี ส่วนที่คุณหญิงพจมาน ชินวัตร เดินทางกลับมาก่อนนั้น ไม่รู้ว่ามีเจตนาอะไร และไม่คิดว่าเป็นการกรุยทางเพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมา ทั้งนี้ หลังจากที่คุณหญิงพจมานกลับมาแล้ว ก็ยังไม่มีโอกาสได้คุยกันเลย
ผู้สื่อข่าวถามว่า จนถึงวันนี้คิดว่าพ.ต.ท.ทักษิณยังมีอิทธิพลในเมืองไทยมากน้อยแค่ไหน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีมาถึง 6 ปีก็ต้องมีพวก มีเพื่อน รวมทั้งมีเงินด้วย สังคมก็มองเหมือนกันว่าคนที่อยู่ในฐานะแบบนี้ก็น่าจะมีบารมีและอิทธิพลบ้าง เพราะไปถามชาวบ้านในต่างจังหวัดส่วนใหญ่ก็ยังมีความชื่นชอบในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ส่วนอนาคตความเชื่อมั่นและบารมีในตัวคุณทักษิณจะเป็นอย่างไร คงตอบไม่ได้ แต่วันนี้ก็วิเคราะห์ได้ว่ายังมีบารมีอยู่ ตัวคุณทักษิณเองอยากกลับมาในเมืองไทย โดยให้เหตุผลว่าเป็นห่วงครอบครัว ซึ่งตนได้นำสิ่งเหล่านี้ไปพูดคุยกับ พล.อ.สนธิว่ามีทางดำเนินการอย่างไร แต่จนถึงวันนี้ก็ไม่มีอะไรคืบหน้าไปมากกว่าเดิม
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--