นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รับมอบโล่เชิดชูเกียรติ กรณีที่เป็นผู้กำกับดูแลนโยบายการส่งออกข้าว ส่งผลให้ประเทศไทยสามารถส่งออกข้าวได้สูงเป็นประวัติการณ์
วันนี้ เวลา 15.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ พร้อมด้วยนายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รับมอบโล่เชิดชูเกียรติ กรณีที่เป็นผู้กำกับดูแลนโยบายการส่งออกข้าว ส่งผลให้ประเทศไทยสามารถส่งออกข้าวได้สูงเป็นประวัติการณ์ จัดโดยสมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ โดยมีนายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ ผู้แทนภาครัฐและเอกชน ทูตานุทูต ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ตลอดจนสื่อมวลชน จำนวน 200 คน เข้าร่วมงาน
นายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวรายงานถึงผลสำเร็จของการดำเนินการตามนโยบายข้าวสรุปว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันเข้ามารับหน้าที่บริหารประเทศ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของข้าว ที่เป็นทั้งชีวิตของคนไทยและมีความผูกพันกับวัฒนธรรมและประเพณีของคนไทยอย่างใกล้ชิด อีกทั้งยังเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของประเทศไทยที่หล่อเลี้ยงเกษตรกรทั่วประเทศและเป็นสินค้าส่งออกที่สามารถสร้างรายได้และนำเงินตราเข้าประเทศประมาณปีละ 100,000 ล้านบาท โดยในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ ได้มีการดำเนินมาตรการต่าง ๆ ทั้งในด้านการรักษาระดับราคาข้าวภายในประเทศจนถึงการส่งออกไปต่างประเทศ และการผลักดันให้การส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้น ประกอบด้วย1.มาตรการกำหนดราคารับจำนำตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลที่ใกล้เคียงกับราคาตลาด 2.การบริหารจัดการสต็อกข้าวของรัฐที่คั่งค้างอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเปิดให้มีการประมูลอย่างสม่ำเสมอและเหมาะสมกับภาวะตลาดข้าว 3.การดำเนินนโยบายขายข้าวแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล (G to G) 4.การริเริ่มวิธีการรักษาเสถียรภาพราคาข้าว โดยการซื้อขายข้าวในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า ซึ่งนอกจากช่วยยกระดับราคาข้าวเปลือกในประเทศให้สูงขึ้นแล้ว ยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการเก็บรักษา และเสริมสร้างศักยภาพการส่งออกข้าวของไทยให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งในด้านปริมาณและมูลค่าด้วย 5.การจัดคณะผู้แทนร่วมภาครัฐและเอกชนเดินทางไปเจรจาขยายตลาดและประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในประเทศต่าง ๆ ที่เป็นตลาดประจำและตลาดที่มีศักยภาพ ทั้งในภูมิภาคเอเซีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา ยุโรป และอเมริกา เป็นอีกมาตรการหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้นำเข้าในต่างประเทศมีความเชื่อมั่นในมาตรฐานและคุณภาพข้าวของไทย และมีความต้องการนำเข้าข้าวจากไทยมากขึ้น ซึ่งผลดีต่อราคาข้าวของไทยในตลาดโลก และ 6. การเสริมสร้างความร่วมมือด้านการค้าข้าวกับประเทศผู้ส่งออกข้าวที่สำคัญ เพื่อกำหนดมาตรการและแนวทางการดำเนินความร่วมมือการค้าข้าวระหว่างกัน ในการรักษาเสถียรภาพและยกระดับราคาข้าวให้สูงขึ้น เช่น ความร่วมมือค้าข้าวระหว่างไทย — เวียดนาม และความร่วมมือเรื่องข้าวในกลุ่มประเทศ ACMECS เป็นต้น
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกันระดมความคิดกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง และจัดทำยุทธศาสตร์ข้าวไทยขึ้น เพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาข้าว ทั้งในด้านการผลิต การแปรรูป การค้าภายในและต่างประเทศ ตลอดจนบริหารจัดการการขนส่งสินค้าและบริการอย่างเป็นระบบมีประสิทธิภาพ เข้มแข็งและยั่งยืน มีทิศทางการดำเนินงานที่ชัดเจนทั้งระยะสั้น ระยะปานกลาง ระยะยาว โดยมีเป้าหมายสำคัญให้ไทยเป็นผู้นำทั้งด้านคุณภาพการผลิตและการตลาด เพื่อให้เกษตรกรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศเติบโตอย่างมั่นคงและมีเสถียรภาพ ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวได้ส่งผลให้การส่งออกข้าวในปี 2550 มีปริมาณไม่น้อยกว่า 9.4 ล้านตัน มูลค่ามากกว่า 3,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ หรือไม่น้อยกว่า 121,000 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 8.5 ล้านตัน มูลค่า 2,600 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ (90,000 ล้านบาท)
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ กล่าวถึงปัจจัยที่ทำให้การส่งออกข้าวดังกล่าวประสบความสำเร็จสรุปว่า เนื่องมาจากการดำเนินนโยบายเรื่องข้าวที่มีประสิทธิภาพและถูกต้องของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ภายใต้การนำของพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ผ่านคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ และกระทรวงพาณิชย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดราคารับจำนำข้าวเปลือกชนิดต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในระดับที่เหมาะสมสอดคล้องกับสภาวะตลาดโลก และการประกาศเปิดประมูลระบายข้าวจากสต็อกของรัฐบาลในจังหวะเวลา และปริมาณที่เหมาะสมกับสถานการณ์เป็นระยะ รวมทั้งการจัดคณะผู้แทนร่วมภาครัฐและเอกชนไปแสวงหาตลาดข้าวในต่างประเทศเพิ่มขึ้น จึงทำให้การส่งออกในปีนี้สามารถดำเนินไปได้อย่างคล่องตัว จนสามารถทะลุเกินเป้าที่ตั้งไว้ 8.5 ล้านเมตริกตัน เป็นจำนวนเกือบ 1 ล้านเมตริกตัน
จากนั้นนายกสมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ มอบโล่เชิดชูเกียรติแก่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โอกาสนี้ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้แสดงความขอบคุณพร้อมกล่าวว่า การดำเนินนโยบายเรื่องข้าวถือเป็นความสำเร็จในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา และจะต้องมีการสานต่ออย่างต่อเนื่อง เพราะถ้าหากสามารถที่จะรักษารายได้ของเกษตรกรให้มีความใกล้เคียงกับที่ได้รับในช่วงปีกว่าที่ผ่านมา จะเป็นส่วนที่จะเป็นประโยชน์ ทั้งนี้นโยบายและยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลได้ดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องข้าวที่กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติจะได้ดำเนินการต่อไปนั้น จะเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เกิดความต่อเนื่อง ซึ่งรัฐบาลได้วางแนวทางที่ไม่ได้มองเฉพาะเรื่องข้าวเท่านั้น แต่รัฐบาลมองถึงการที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวนาให้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ในอดีตที่ผ่านมา รัฐบาลได้มีการดำเนินการที่จะช่วยเหลือพี่น้องชาวนามาโดยตลอด ซึ่งอาจจะทำผิดบ้างถูกบ้าง แต่สิ่งที่สำคัญคือ ทำอย่างไรที่จะทำกันอย่างตรงไปตรงมา อย่างซื่อสัตย์สุจริต เพราะถ้าหากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง อาทิ พ่อค้า โรงสี และผู้ส่งออก ไม่ช่วยกันดูแลให้กระบวนการต่าง ๆ เหล่านี้ ยืนอยู่บนพื้นฐานของธรรมาภิบาลแล้ว โอกาสที่จะทำให้แนวทางของรัฐบาลที่จะก้าวไปข้างหน้าคงจะเป็นไปได้ลำบาก
นายกรัฐมนตรีกล่าวฝากทุกคนถึงความร่วมมือที่จะช่วยกันดูแลให้ระบบยืนอยู่บนพื้นฐานของหลักธรรมาภิบาล ว่า เมื่อยืนอยู่บนพื้นฐานนี้แล้ว ก็จะต้องมีการพิจารณาปรับปรุงวิธีการในรายละเอียดอยู่เสมอ เพราะในเรื่องของการตลาดจำเป็นที่จะต้องคอยดูและติดตามประเมินผล รวมทั้งปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับการตลาดอยู่ตลอดเวลา ซึ่งถ้าหากไม่มีพื้นฐานของธรรมมาภิบาลก็จะเกิดการดำเนินการในทางที่ทำให้ส่วนหนึ่งส่วนใดจะต้องได้รับผลกระทบ ซึ่งโดยส่วนมากผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือชาวนา เพราะสิ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินการมาในช่วง 1 ปีกว่า ๆ เป็นเพียงแนวทาง ซึ่งต้องการความร่วมมือร่วมใจ และต้องการการศึกษาในรายละเอียดรวมถึงมีการดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพของการตลาดที่จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ต่อไปตลอดเวลา รวมถึงเรื่องเทคโนโลยี วิธีการใหม่ ๆ ที่จะเป็นเครื่องช่วยที่จะทำให้ประเทศไทยมีความก้าวหน้าและมีโอกาสที่รักษาความเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลกต่อไปในอนาคต
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
วันนี้ เวลา 15.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ พร้อมด้วยนายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รับมอบโล่เชิดชูเกียรติ กรณีที่เป็นผู้กำกับดูแลนโยบายการส่งออกข้าว ส่งผลให้ประเทศไทยสามารถส่งออกข้าวได้สูงเป็นประวัติการณ์ จัดโดยสมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ โดยมีนายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ ผู้แทนภาครัฐและเอกชน ทูตานุทูต ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ตลอดจนสื่อมวลชน จำนวน 200 คน เข้าร่วมงาน
นายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวรายงานถึงผลสำเร็จของการดำเนินการตามนโยบายข้าวสรุปว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันเข้ามารับหน้าที่บริหารประเทศ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของข้าว ที่เป็นทั้งชีวิตของคนไทยและมีความผูกพันกับวัฒนธรรมและประเพณีของคนไทยอย่างใกล้ชิด อีกทั้งยังเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของประเทศไทยที่หล่อเลี้ยงเกษตรกรทั่วประเทศและเป็นสินค้าส่งออกที่สามารถสร้างรายได้และนำเงินตราเข้าประเทศประมาณปีละ 100,000 ล้านบาท โดยในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ ได้มีการดำเนินมาตรการต่าง ๆ ทั้งในด้านการรักษาระดับราคาข้าวภายในประเทศจนถึงการส่งออกไปต่างประเทศ และการผลักดันให้การส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้น ประกอบด้วย1.มาตรการกำหนดราคารับจำนำตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลที่ใกล้เคียงกับราคาตลาด 2.การบริหารจัดการสต็อกข้าวของรัฐที่คั่งค้างอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเปิดให้มีการประมูลอย่างสม่ำเสมอและเหมาะสมกับภาวะตลาดข้าว 3.การดำเนินนโยบายขายข้าวแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล (G to G) 4.การริเริ่มวิธีการรักษาเสถียรภาพราคาข้าว โดยการซื้อขายข้าวในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า ซึ่งนอกจากช่วยยกระดับราคาข้าวเปลือกในประเทศให้สูงขึ้นแล้ว ยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการเก็บรักษา และเสริมสร้างศักยภาพการส่งออกข้าวของไทยให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งในด้านปริมาณและมูลค่าด้วย 5.การจัดคณะผู้แทนร่วมภาครัฐและเอกชนเดินทางไปเจรจาขยายตลาดและประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในประเทศต่าง ๆ ที่เป็นตลาดประจำและตลาดที่มีศักยภาพ ทั้งในภูมิภาคเอเซีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา ยุโรป และอเมริกา เป็นอีกมาตรการหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้นำเข้าในต่างประเทศมีความเชื่อมั่นในมาตรฐานและคุณภาพข้าวของไทย และมีความต้องการนำเข้าข้าวจากไทยมากขึ้น ซึ่งผลดีต่อราคาข้าวของไทยในตลาดโลก และ 6. การเสริมสร้างความร่วมมือด้านการค้าข้าวกับประเทศผู้ส่งออกข้าวที่สำคัญ เพื่อกำหนดมาตรการและแนวทางการดำเนินความร่วมมือการค้าข้าวระหว่างกัน ในการรักษาเสถียรภาพและยกระดับราคาข้าวให้สูงขึ้น เช่น ความร่วมมือค้าข้าวระหว่างไทย — เวียดนาม และความร่วมมือเรื่องข้าวในกลุ่มประเทศ ACMECS เป็นต้น
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกันระดมความคิดกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง และจัดทำยุทธศาสตร์ข้าวไทยขึ้น เพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาข้าว ทั้งในด้านการผลิต การแปรรูป การค้าภายในและต่างประเทศ ตลอดจนบริหารจัดการการขนส่งสินค้าและบริการอย่างเป็นระบบมีประสิทธิภาพ เข้มแข็งและยั่งยืน มีทิศทางการดำเนินงานที่ชัดเจนทั้งระยะสั้น ระยะปานกลาง ระยะยาว โดยมีเป้าหมายสำคัญให้ไทยเป็นผู้นำทั้งด้านคุณภาพการผลิตและการตลาด เพื่อให้เกษตรกรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศเติบโตอย่างมั่นคงและมีเสถียรภาพ ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวได้ส่งผลให้การส่งออกข้าวในปี 2550 มีปริมาณไม่น้อยกว่า 9.4 ล้านตัน มูลค่ามากกว่า 3,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ หรือไม่น้อยกว่า 121,000 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 8.5 ล้านตัน มูลค่า 2,600 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ (90,000 ล้านบาท)
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ กล่าวถึงปัจจัยที่ทำให้การส่งออกข้าวดังกล่าวประสบความสำเร็จสรุปว่า เนื่องมาจากการดำเนินนโยบายเรื่องข้าวที่มีประสิทธิภาพและถูกต้องของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ภายใต้การนำของพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ผ่านคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ และกระทรวงพาณิชย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดราคารับจำนำข้าวเปลือกชนิดต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในระดับที่เหมาะสมสอดคล้องกับสภาวะตลาดโลก และการประกาศเปิดประมูลระบายข้าวจากสต็อกของรัฐบาลในจังหวะเวลา และปริมาณที่เหมาะสมกับสถานการณ์เป็นระยะ รวมทั้งการจัดคณะผู้แทนร่วมภาครัฐและเอกชนไปแสวงหาตลาดข้าวในต่างประเทศเพิ่มขึ้น จึงทำให้การส่งออกในปีนี้สามารถดำเนินไปได้อย่างคล่องตัว จนสามารถทะลุเกินเป้าที่ตั้งไว้ 8.5 ล้านเมตริกตัน เป็นจำนวนเกือบ 1 ล้านเมตริกตัน
จากนั้นนายกสมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ มอบโล่เชิดชูเกียรติแก่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โอกาสนี้ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้แสดงความขอบคุณพร้อมกล่าวว่า การดำเนินนโยบายเรื่องข้าวถือเป็นความสำเร็จในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา และจะต้องมีการสานต่ออย่างต่อเนื่อง เพราะถ้าหากสามารถที่จะรักษารายได้ของเกษตรกรให้มีความใกล้เคียงกับที่ได้รับในช่วงปีกว่าที่ผ่านมา จะเป็นส่วนที่จะเป็นประโยชน์ ทั้งนี้นโยบายและยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลได้ดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องข้าวที่กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติจะได้ดำเนินการต่อไปนั้น จะเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เกิดความต่อเนื่อง ซึ่งรัฐบาลได้วางแนวทางที่ไม่ได้มองเฉพาะเรื่องข้าวเท่านั้น แต่รัฐบาลมองถึงการที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวนาให้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ในอดีตที่ผ่านมา รัฐบาลได้มีการดำเนินการที่จะช่วยเหลือพี่น้องชาวนามาโดยตลอด ซึ่งอาจจะทำผิดบ้างถูกบ้าง แต่สิ่งที่สำคัญคือ ทำอย่างไรที่จะทำกันอย่างตรงไปตรงมา อย่างซื่อสัตย์สุจริต เพราะถ้าหากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง อาทิ พ่อค้า โรงสี และผู้ส่งออก ไม่ช่วยกันดูแลให้กระบวนการต่าง ๆ เหล่านี้ ยืนอยู่บนพื้นฐานของธรรมาภิบาลแล้ว โอกาสที่จะทำให้แนวทางของรัฐบาลที่จะก้าวไปข้างหน้าคงจะเป็นไปได้ลำบาก
นายกรัฐมนตรีกล่าวฝากทุกคนถึงความร่วมมือที่จะช่วยกันดูแลให้ระบบยืนอยู่บนพื้นฐานของหลักธรรมาภิบาล ว่า เมื่อยืนอยู่บนพื้นฐานนี้แล้ว ก็จะต้องมีการพิจารณาปรับปรุงวิธีการในรายละเอียดอยู่เสมอ เพราะในเรื่องของการตลาดจำเป็นที่จะต้องคอยดูและติดตามประเมินผล รวมทั้งปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับการตลาดอยู่ตลอดเวลา ซึ่งถ้าหากไม่มีพื้นฐานของธรรมมาภิบาลก็จะเกิดการดำเนินการในทางที่ทำให้ส่วนหนึ่งส่วนใดจะต้องได้รับผลกระทบ ซึ่งโดยส่วนมากผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือชาวนา เพราะสิ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินการมาในช่วง 1 ปีกว่า ๆ เป็นเพียงแนวทาง ซึ่งต้องการความร่วมมือร่วมใจ และต้องการการศึกษาในรายละเอียดรวมถึงมีการดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพของการตลาดที่จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ต่อไปตลอดเวลา รวมถึงเรื่องเทคโนโลยี วิธีการใหม่ ๆ ที่จะเป็นเครื่องช่วยที่จะทำให้ประเทศไทยมีความก้าวหน้าและมีโอกาสที่รักษาความเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลกต่อไปในอนาคต
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--