นายกรัฐมนตรีระบุไม่มีอะไรฝากนายกรัฐมนตรีคนใหม่เป็นพิเศษ และพร้อมชี้แจงหากมีการสอบถามในประเด็นต่าง ๆ
เมื่อเวลา 14.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ภายหลังอำลาข้าราชการก่อนพ้นจากหน้าที่ว่า คงไม่มีอะไรฝากให้กับข้าราชการในการทำงานต่อไป เพราะทุกคนทราบดีว่าความรับผิดชอบของฝ่ายราชการมีอะไรบ้าง แต่อยากให้ช่วยสานต่องานของรัฐบาลที่ได้ดำเนินการไป เช่น นโยบายข้าว นโยบายด้านเศรษฐกิจ ในด้านการบริหารจัดการ การขนส่งสินค้าและบริการ การจัดระบบการจัดทำงบประมาณในระดับกลุ่มจังหวัด ซึ่งเชื่อมโยงกันทั้งเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กับเลขาธิการ ก.พ.ร. ที่ถือว่าเป็นเรื่องใหม่ที่จะเริ่มดำเนินการในปี 2552 เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ และเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ประชาชนได้รับสานต่อกันมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะระดับหมู่บ้าน มาสู่ส่วนท้องถิ่นคืออบต. และขึ้นมาถึงระดับอำเภอ จังหวัด และกลุ่มจังหวัด ซึ่งจะเป็นโครงการที่เกิดขึ้นจากความต้องการของประชาชนในระดับต่าง ๆ ที่จะเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้การจัดสรรงบประมาณนั้นตรงกับความต้องการของประชาชนจริง ๆ
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะพบกับนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีคนใหม่เมื่อใด นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้มีการนัดหมาย คงไม่ได้เป็นเรื่องเร่งด่วนอะไร เพราะคงจะมีโอกาสได้พบนายสมัครฯ ในโอกาสข้างหน้า หลังจากที่นายสมัครฯ เข้ามาทำงานแล้ว คงมีโอกาสพูดคุยกัน อย่างไรก็ตาม ไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องฝากนายกรัฐมนตรีคนใหม่เป็นพิเศษ และก็ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบัง และพร้อมชี้แจงหากนายกฯ คนใหม่ต้องการสอบถามในประเด็นต่าง ๆ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาช่วงใดมีความสุขที่สุด และช่วงใดที่หนักใจที่สุด นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ช่วงเวลาที่มีความสุขคือช่วงเวลาที่ได้นอนยาว ๆ มีความสุขที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ส่วนช่วงเวลาที่หนักเป็นเวลาที่จำเป็นจะต้องพบปะพูดคุยทำความเข้าใจทั้งคนของเราเอง และผู้นำต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่จำเป็นจะต้องรวบรวมทั้งความคิด และสมาธิ ในการที่จะพูดให้น้อยที่สุด แต่ให้ผู้ที่จะรับฟังนั้นเข้าใจว่าเรามีความมุ่งหมายอะไรที่จะทำให้เขาเกิดความเชื่อมั่นว่า เราสามารถที่จะนำพาบ้านเมืองของเราไปสู่ครรลองของประชาธิปไตยได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ปัญหาใหญ่อะไรที่คิดว่ารัฐบาลใหม่ควรจะเข้ามาแก้ปัญหา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลใหม่ทราบดีอยู่แล้วเท่าที่ฟังจากการให้สัมภาษณ์ คิดว่าฝ่ายการเมืองเข้าใจว่ามีสิ่งใดบ้างที่จะต้องดำเนินการ คงไม่ไปพูดในเรื่องเหล่านี้ เพราะเคารพความคิดเห็นของแต่ละบุคคลอยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ต้องการปรับปรุงแก้ไขอะไรมากที่สุด นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หากย้อนเวลากลับไปได้คือไม่ต้องเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นเรื่องที่ต้องรับผิดชอบเป็นอย่างมาก และถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่เป็นเรื่องที่อย่างที่เคยบอกไว้ว่า ไม่ได้มีความคิดที่จะมาทำงานทางการเมือง แต่เมื่อเป็นความจำเป็นและจำเป็นต้องมาทำ ก็ยอมรับด้วยความลำบากใจ แต่ถ้าให้ย้อนเวลาได้อย่างที่มีคำถามบอกมานี้ คือไม่อยากลำบากใจ ก็ไม่จำเป็นต้องมารับงานนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในฐานะที่เป็นรัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติ คิดว่าประเทศชาติและประชาชนได้ประโยชน์อะไรบ้างตลอด 1 ปี 3 เดือนที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงไม่สามารถที่จะพูดและตอบคำถามได้ในระยะเวลาอันสั้นๆ เราคงต้องใช้เวลาที่จะมาประเมินผล และวิเคราะห์กันในหลาย ๆ ด้านว่าอะไรบ้างที่เป็นประโยชน์ อะไรบ้างที่ไม่ควรทำ ต้องมาวิเคราะห์ว่ามีส่วนใดที่เป็นส่วนดี และส่วนใดเป็นส่วนเสียบ้าง คงไม่ได้เป็นเรื่องที่ตอบได้ในระยะเวลาอันสั้น คงอาศัยจากหลายๆ มุมมองด้วยกัน ในเชิงวิชาการ เชิงผู้ปฏิบัติหน้าที่ แม้กระทั่งจากสื่อมวลชนที่ต้องสะท้อนภาพให้เห็นว่ามีอะไรที่ควรจะแก้ไขอย่างไรบ้าง แต่ทั้งนี้เราสามารถนำพาประเทศชาติของเรากลับเข้าสู่ครรลองของประชาธิปไตยได้ โดยที่ไม่มีปัญหาในเรื่องของความไม่สงบเรียบร้อย
ผู้สื่อข่าวถามว่า เกรงหรือไม่ว่าจะมีการล้างแค้นกันโดยทำให้เกิดความวุ่นวายจนทำให้นายกรัฐมนตรีต้องกลับมาลำบากอีก นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงไม่กลับมาลำบากอีกแล้ว ไปแล้วก็คงไปเลย และคิดว่าในสังคมของเราไม่ควรเป็นสังคมอย่างนั้น ซึ่งมีบทเรียนจากครอบครัวของตนเอง ที่ต้องสูญเสียคนในครอบครัว เพราะฉะนั้น ทำอย่างไรที่จะแก้ไขปัญหาด้วยความคิดเห็นทางการเมือง นั่นก็คือการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี ไม่อยากเห็นการใช้ความรุนแรง เพราะไม่ได้เป็นวิธีการทางการเมืองเลย
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีหรือไม่ที่พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ได้โทรศัพท์คุยกับพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร แล้ว นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ทราบ เรื่องของคนอื่นตอบแทนไม่ได้ และยังไม่ได้พบกับพลเอก สนธิฯ จึงไม่ทราบว่าท่านพูดอะไรกัน แต่น่าจะเป็นสิ่งที่ดี ถ้าพูดจากันได้
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
เมื่อเวลา 14.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ภายหลังอำลาข้าราชการก่อนพ้นจากหน้าที่ว่า คงไม่มีอะไรฝากให้กับข้าราชการในการทำงานต่อไป เพราะทุกคนทราบดีว่าความรับผิดชอบของฝ่ายราชการมีอะไรบ้าง แต่อยากให้ช่วยสานต่องานของรัฐบาลที่ได้ดำเนินการไป เช่น นโยบายข้าว นโยบายด้านเศรษฐกิจ ในด้านการบริหารจัดการ การขนส่งสินค้าและบริการ การจัดระบบการจัดทำงบประมาณในระดับกลุ่มจังหวัด ซึ่งเชื่อมโยงกันทั้งเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กับเลขาธิการ ก.พ.ร. ที่ถือว่าเป็นเรื่องใหม่ที่จะเริ่มดำเนินการในปี 2552 เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ และเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ประชาชนได้รับสานต่อกันมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะระดับหมู่บ้าน มาสู่ส่วนท้องถิ่นคืออบต. และขึ้นมาถึงระดับอำเภอ จังหวัด และกลุ่มจังหวัด ซึ่งจะเป็นโครงการที่เกิดขึ้นจากความต้องการของประชาชนในระดับต่าง ๆ ที่จะเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้การจัดสรรงบประมาณนั้นตรงกับความต้องการของประชาชนจริง ๆ
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะพบกับนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีคนใหม่เมื่อใด นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้มีการนัดหมาย คงไม่ได้เป็นเรื่องเร่งด่วนอะไร เพราะคงจะมีโอกาสได้พบนายสมัครฯ ในโอกาสข้างหน้า หลังจากที่นายสมัครฯ เข้ามาทำงานแล้ว คงมีโอกาสพูดคุยกัน อย่างไรก็ตาม ไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องฝากนายกรัฐมนตรีคนใหม่เป็นพิเศษ และก็ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบัง และพร้อมชี้แจงหากนายกฯ คนใหม่ต้องการสอบถามในประเด็นต่าง ๆ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาช่วงใดมีความสุขที่สุด และช่วงใดที่หนักใจที่สุด นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ช่วงเวลาที่มีความสุขคือช่วงเวลาที่ได้นอนยาว ๆ มีความสุขที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ส่วนช่วงเวลาที่หนักเป็นเวลาที่จำเป็นจะต้องพบปะพูดคุยทำความเข้าใจทั้งคนของเราเอง และผู้นำต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่จำเป็นจะต้องรวบรวมทั้งความคิด และสมาธิ ในการที่จะพูดให้น้อยที่สุด แต่ให้ผู้ที่จะรับฟังนั้นเข้าใจว่าเรามีความมุ่งหมายอะไรที่จะทำให้เขาเกิดความเชื่อมั่นว่า เราสามารถที่จะนำพาบ้านเมืองของเราไปสู่ครรลองของประชาธิปไตยได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ปัญหาใหญ่อะไรที่คิดว่ารัฐบาลใหม่ควรจะเข้ามาแก้ปัญหา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลใหม่ทราบดีอยู่แล้วเท่าที่ฟังจากการให้สัมภาษณ์ คิดว่าฝ่ายการเมืองเข้าใจว่ามีสิ่งใดบ้างที่จะต้องดำเนินการ คงไม่ไปพูดในเรื่องเหล่านี้ เพราะเคารพความคิดเห็นของแต่ละบุคคลอยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ต้องการปรับปรุงแก้ไขอะไรมากที่สุด นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หากย้อนเวลากลับไปได้คือไม่ต้องเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นเรื่องที่ต้องรับผิดชอบเป็นอย่างมาก และถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่เป็นเรื่องที่อย่างที่เคยบอกไว้ว่า ไม่ได้มีความคิดที่จะมาทำงานทางการเมือง แต่เมื่อเป็นความจำเป็นและจำเป็นต้องมาทำ ก็ยอมรับด้วยความลำบากใจ แต่ถ้าให้ย้อนเวลาได้อย่างที่มีคำถามบอกมานี้ คือไม่อยากลำบากใจ ก็ไม่จำเป็นต้องมารับงานนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในฐานะที่เป็นรัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติ คิดว่าประเทศชาติและประชาชนได้ประโยชน์อะไรบ้างตลอด 1 ปี 3 เดือนที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงไม่สามารถที่จะพูดและตอบคำถามได้ในระยะเวลาอันสั้นๆ เราคงต้องใช้เวลาที่จะมาประเมินผล และวิเคราะห์กันในหลาย ๆ ด้านว่าอะไรบ้างที่เป็นประโยชน์ อะไรบ้างที่ไม่ควรทำ ต้องมาวิเคราะห์ว่ามีส่วนใดที่เป็นส่วนดี และส่วนใดเป็นส่วนเสียบ้าง คงไม่ได้เป็นเรื่องที่ตอบได้ในระยะเวลาอันสั้น คงอาศัยจากหลายๆ มุมมองด้วยกัน ในเชิงวิชาการ เชิงผู้ปฏิบัติหน้าที่ แม้กระทั่งจากสื่อมวลชนที่ต้องสะท้อนภาพให้เห็นว่ามีอะไรที่ควรจะแก้ไขอย่างไรบ้าง แต่ทั้งนี้เราสามารถนำพาประเทศชาติของเรากลับเข้าสู่ครรลองของประชาธิปไตยได้ โดยที่ไม่มีปัญหาในเรื่องของความไม่สงบเรียบร้อย
ผู้สื่อข่าวถามว่า เกรงหรือไม่ว่าจะมีการล้างแค้นกันโดยทำให้เกิดความวุ่นวายจนทำให้นายกรัฐมนตรีต้องกลับมาลำบากอีก นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงไม่กลับมาลำบากอีกแล้ว ไปแล้วก็คงไปเลย และคิดว่าในสังคมของเราไม่ควรเป็นสังคมอย่างนั้น ซึ่งมีบทเรียนจากครอบครัวของตนเอง ที่ต้องสูญเสียคนในครอบครัว เพราะฉะนั้น ทำอย่างไรที่จะแก้ไขปัญหาด้วยความคิดเห็นทางการเมือง นั่นก็คือการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี ไม่อยากเห็นการใช้ความรุนแรง เพราะไม่ได้เป็นวิธีการทางการเมืองเลย
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีหรือไม่ที่พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ได้โทรศัพท์คุยกับพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร แล้ว นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ทราบ เรื่องของคนอื่นตอบแทนไม่ได้ และยังไม่ได้พบกับพลเอก สนธิฯ จึงไม่ทราบว่าท่านพูดอะไรกัน แต่น่าจะเป็นสิ่งที่ดี ถ้าพูดจากันได้
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--